ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯชะลอตัวเล็กน้อย หนุน “Quick Big Win” กระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี ชง 3 ข้อเสนอ เติมเม็ดเงินในระบบ เร่งเบิกจ่ายงบปี’69 ภายใน 30-45 วัน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 87.3 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 87.8 ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าคงทนปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในหมวดรถยนต์สันดาปและเครื่องปรับอากาศ จากอุปสงค์ที่ชะลอตัวในตลาดออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา รวมถึงผลิตภัณฑ์ไม้ในตลาดจีนและมาเลเซียที่มีคำสั่งซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ยังเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงประมาณ 0.1% ต่อสัปดาห์ คิดเป็นมูลค่าราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯโดยรวม
นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าจากจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนม.ค.–ก.ย. 2568 เพิ่มขึ้นถึง 33.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (+9.78%YoY) เหล็ก (+9.23%YoY) และพลาสติก (+16.28%YoY)
อย่างไรก็ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่ยังคงขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ ยังคงส่งผลกระทบต่อผลผลิตของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ตลอดจนการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมถึงมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2568 มูลค่าการค้ากับเมียนมาลดลงเหลือ 9,401 ล้านบาท (-40.8%) ขณะที่การค้ากับกัมพูชาลดลงเหลือเพียง 11 ล้านบาท (-99.9%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ในเดือนตุลาคมยังมีปัจจัยบวกหลายประการที่ช่วยประคับประคองภาวะเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ เหลือ 30.94 บาทต่อลิตร และปรับลดราคาน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และลดต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจและฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหาร หัตถกรรม ของฝาก และเครื่องนุ่งห่ม
ขณะเดียวกันการบรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ยังช่วยผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดบริเวณชายแดน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากหลายปัจจัยดังกล่าว แต่อุตสาหกรรมไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงบางประการที่ต้องเฝ้าระวัง ทั้งธุรกิจสีเทาอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ค่าเงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่าอย่างต่อเนื่องกระทบต่อรายได้จากการส่งออก นอกจากนี้ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1.2% ถือว่าต่ำดังนั้นต้องลุ้นมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล หวังว่าจะไม่ทำให้เศรษฐกิจติดหล่ม และต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วขึ้น ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัส สิ่งหนึ่งที่สบายใจคือนโยบายรัฐตรงโจทย์ ในช่วง 4 เดือน”
นายเกรียงไกร กล่าวว่าได้จัดทำข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้ 1.เสนอให้ภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างให้กับผู้ประกอบการ SMEs ภายใน 30–45 วันนับตั้งแต่ตรวจรับงานเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่อง พร้อมปรับลดวงเงินหลักประกันสัญญาและเร่งคืนให้เร็วขึ้นภายใน 15 วัน
2. เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 4.37 ล้านล้านบาท โดยตั้งเป้าเบิกจ่ายอย่างน้อย 33% ภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 ตามนโยบาย Quick Big Win เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น
3. สนับสนุนให้ภาครัฐดำเนินการปราบปรามและป้องกันธุรกิจสีเทาในทุกมิติ ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนแผนของคณะทำงาน Zero Corruption ของ กกร. ใน 6 ด้าน เพื่อสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเชื่อมั่น และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย
ด้านม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธาน ส.อ.ท. และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. กล่าวว่า จากผลการสำรวจผู้ประกอบการจำนวน 1,335 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนตุลาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่มีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 67.3% เศรษฐกิจโลก 63.1% และอัตราแลกเปลี่ยน (โดยเฉพาะในมุมมองของผู้ส่งออก) 48.1% ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ นโยบายภาครัฐ 48% การเข้าถึงสินเชื่อ 29.1% ราคาพลังงาน 27.1% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 20.4%
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 93.5 จากระดับ 91.8 ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากมาตรการ “Quick Big Win” ของภาครัฐ อาทิ มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อรับซื้อและปรับโครงสร้างหนี้เสียภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท ซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องและกระตุ้นการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกายังมีพัฒนาการในเชิงบวก โดยทั้งสองประเทศได้บรรลุกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ไว้ที่ 19% พร้อมให้สิทธิยกเว้นภาษี (0%) แก่สินค้าบางประเภทจากไทย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในระยะถัดไป
ขณะเดียวกันการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายลง โดยสหรัฐฯ จะ ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเหลือ 47% จากเดิม 57% ขณะที่จีนได้ผ่อนคลายข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก ซึ่งช่วยคลี่คลายบรรยากาศทางการค้าโลก