เปิด Action Plan หยุดคอร์รัปชันทุกรูปแบบเตรียมเสนอรัฐบาล

เปิด Action Plan หยุดคอร์รัปชันทุกรูปแบบเตรียมเสนอรัฐบาล
กกร.ผนึกเครือข่ายประกาศจุดยืนต่อต้านคอร์รัปชันฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน สร้างระบบเศรษฐกิจ-การเมืองไทยที่โปร่งใส เป็นธรรมแบบยั่งยืน

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน  เปิดเผยว่า คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน ประกาศจุดยืนของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ เพื่อขับเคลื่อนแนวคิด Reinvent Thailand ยกระดับขีดความสามารถ ของประเทศ โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน Government Efficiency (ประสิทธิภาพของภาครัฐ) ซึ่งเป็นอุปสรรคหลักต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

ทั้งนี้กกร.ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายสำคัญ ได้แก่   1. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแห่งประเทศไทย (ACT)  2. แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC), และ 3. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ)

รวมทั้งหน่วยงานทางวิชาการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)        เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบาย ระบบ และกลไก ที่นำไปสู่สังคมโปร่งใสและตรวจสอบได้ และกำหนด Action Plan เราไม่ได้บ่นอย่างเดียว แต่เราจะมี Action เพื่อให้ทุกภาคส่วนทำร่วมกัน

นอกจากนี้ยังขยายสู่กลุ่มหน่วยป้องกันและปราบปราม เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อเชื่อมโยงสู่การบังคับใช้กฎหมายเชิงระบบ พร้อมด้วยเครือข่ายสนับสนุนจากภาคเอกชน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สภาธุรกิจ  ตลาดทุนไทย, สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย, หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย และภาคีเอกชนอื่น ๆ ที่พร้อมช่วยประชาสัมพันธ์โครงการของเรา เช่น สมาคมการค้า อาทิ สมาคมตลาดสดไทย, สมาคมผู้ค้าปลีกไทย, สมาคมโรงแรมไทย และสมาคมภัตตาคารไทย เป็นต้น

ดร.พจน์  กล่าวว่า กล่าวว่า  Action Plan แผน Quick Impact 6 ด้าน ในระยะ 6 เดือนแรก เพื่อทำให้การคอร์รัปชันหายไปจากสังคมไทยได้แก่ 1.การปลูกฝังจิตสำนึก แถลงข่าว ผลวิจัยเลือกตั้ง รณรงค์สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน “เลือกตั้งสุจริต ไม่เลือกคนมีประวัติคดโกง และปฏิเสธคนซื้อเสียง"ประกาศเจตนารมณ์เอกชนฮั้วไม่จ่ายใต้โต๊ะ เน้นให้ธุรกิจเติบโตด้วย ความรับผิดชอบต่อลูกค้า สิ่งแวดล้อม และสังคม (ราย Sector)

2.นโยบายต่อต้านการทุจริตในองค์กร รณรงค์ให้สมาชิกภาคธุรกิจเข้าร่วม แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) เพื่อกำหนดนโยบาย ระบบควบคุมภายใน และแนวปฏิบัติในการปฏิเสธรับและจ่ายสินบน รวมถึงคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ และพัฒนาระบบงานให้ได้มาตรฐานรางวัลจรรยาบรรณดีเด่น กระตุ้นให้ “คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน” เร่งดำเนินการตามข้อเสนอโครงการ Regulatory Guillotines และผลักดัน พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกประกาศสิ่งที่รัฐบาลต้องทำเพื่อให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้สำเร็จ สนับสนุนการเข้าร่วม OECD และ Open Government  Partnership (OGP)  เพื่อนำเสนอในการประชุม World Bank & IMF, ผลักดันพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย

3.ระบบบริหารความเสี่ยง สำรวจและนำเสนอผล “ธุรกิจไทยยังถูกเรียกรับสินบนการอนุญาต ประกาศ “10 สินบน ที่ไม่ยอมทนอีกต่อไป” เพื่ออัพเดท และสื่อสารปัญหาสินบน ใบอนุญาตต่างๆ พร้อมหาแนวทางใบอนุญาตโปร่งใส  4.การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามมาตรฐานสากล ที่จำเป็นต่อการต่อต้านคอร์รัปชัน

5.เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส ร่วมกันใช้ฐานข้อมูล ACT Ai ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อตรวจสอบทุจริตในกรณีต่างๆ

6.แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล รณรงค์  “เรียกรับ...เราร้อง” ชวนคนไทย ข้าราชการ รวมถึงนักธุรกิจไทยและต่างชาติ แจ้งเบาะแสคอร์รัปชัน หรือร้องเรียนเมื่อถูกเรียกสินบน ผ่านแชต “ฟ้องโกงทันใจ” Corruption Watch ให้ทุกคนมั่นใจ ไม่โดนกลั่นแกล้ง ฟ้องปิดปาก

อย่างไรกามในนาม กกร. มองว่า การคอร์รัปชันไม่เพียงบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ยังทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและคู่ค้าต่างชาติ จึงร่วมกันจัดตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. ไม่ทน” ขึ้นโดยตรงทำหน้าที่รวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม เพื่อนำมาจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบพร้อมเสนอให้รัฐบาลนำไปปฏิบัติได้จริงในเชิงโครงสร้าง เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสร้างระบบเศรษฐกิจ-การเมืองไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืนในระยะยาว

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกระหว่าง “การแข่งขันที่โปร่งใส” กับ “การเติบโตบนความเสี่ยง”สิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่เพียงปราบปรามการคอร์รัปชัน แต่ต้อง“เปลี่ยนวิธีคิดของทั้งสังคม” จากการมองว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาของใครบางคน มาเป็นภารกิจร่วมของทุกคนในชาติ และในสมการแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ ภาคธุรกิจคือฟันเฟืองสำคัญ ที่ต้องลุกขึ้น “สร้างกระแส สร้างวัฒนธรรม และสร้างแรงบันดาลใจ” ให้สังคมไทยก้าวสู่ยุคใหม่ ยุคที่ “ไม่ยอมรับการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ” เพื่อให้ประเทศเติบโตอย่างมั่นคง น่าเชื่อถือ และยั่งยืน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า  ภาคอุตสาหกรรมไทยในวันนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาดโลกเท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องผลิต ‘ความโปร่งใส’ เป็นมาตรฐานใหม่ของ การดำเนินธุรกิจ เพราะการทุจริตไม่ใช่แค่ปัญหาทางศีลธรรมที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคม แต่คือ ‘ต้นทุนที่มองไม่เห็น’ ที่กัดกร่อนศักยภาพของประเทศ ทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต

ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างระบบที่สุจริต ตรวจสอบได้ และยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล นวัตกรรม มาตรฐานสากล หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่มีคุณภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก

“การพัฒนาเศรษฐกิจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังมีร่องรอยของการทุจริตแทรกอยู่ในระบบ เพราะทุกการกระทำที่ไม่โปร่งใส คือ อุปสรรคต่อการเติบโตของชาติและความเชื่อมั่นของนักลงทุน วันนี้คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน จึงรวมพลังจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง สร้างประเทศ   ที่โปร่งใส เป็นธรรม และแข่งขันได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”

ด้านนายกอบศักดิ์  ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายใน 3 ด้าน คือ .ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง มีเศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้นๆ ในเอเชียที่ราว 48% ของ GDP อีกทั้งหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเมื่อรวมหนี้นอกระบบ เกิน 100% ของ GDP

2.ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเติบโตตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน 3.ความท้าทายของภาครัฐ ที่มีกฎระเบียบจำนวนมากถึงกว่า 100,000 ฉบับ บางส่วนล้าสมัยและซ้ำซ้อน อีกทั้งข้อมูลของภาครัฐยังไม่เชื่อมโยงกัน ซึ่งทั้ง 3 ด้านเป็นความท้าทายที่มีความเกี่ยวโยงกับปัญหาคอร์รัปชัน และ Trust and Confidence ในระบบเศรษฐกิจไทย

ทางสมาคมธนาคารไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน ร่วมผลักดัน สอดคล้องกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่เน้นการมีส่วนร่วมของเอกชนและภาครัฐ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำอย่างโปร่งใส ในเรื่องที่มีผลลัพธ์สูง (High impact) ทั้งในด้านการจ้างงานคนไทยและความสามารถในการแข่งขันในการยกระดับประเทศ สอดคล้องแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล 

รวมไปถึงการที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปในหลายด้านเพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD และเป็นการ show case การขับเคลื่อนประเทศเพื่อสร้าง Trust and Confidence ในกลุ่มนักลงทุนและประชาคมโลกในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม       IMF-WBG Annual Meetings ในปี 2569

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  กล่าวถึง ผลสำรวจ "ดัชนีสถานการณ์ คอร์รัปชันไทย (Thai CSI)" ประจำเดือนมิถุนายน 2568 สำรวจจาก 3 กลุ่มตัวอย่างหลัก จำนวน 2,400 ตัวอย่าง (ประชาชน, ผู้ประกอบการ/ภาคเอกชน, และข้าราชการ/ภาครัฐ) พบว่า ดัชนีรวมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36 จากระดับ 37 ในการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สะท้อนว่าสถานการณ์คอร์รัปชัน ไทยในภาพรวมแย่ลง โดยดัชนีย่อยทั้งด้าน "ปัญหาและความรุนแรง" "การป้องกัน" และ "การปราบปราม" ล้วนปรับตัวลดลงทั้งหมด

นอกจากนี้ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความกังวลต่อสถานการณ์อย่างยิ่ง โดย 87% มองว่าปัญหาคอร์รัปชันในปัจจุบัน "รุนแรงขึ้น" เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และ 74% คาดการณ์ว่า "จะรุนแรงขึ้น" ในปีหน้า แม้ว่าปัญหาจะยังรุนแรง แต่มีสัญญาณเชิงบวกคือ "ค่าเฉลี่ยความสามารถที่จะทานทนต่อการทุจริต (Tolerance of corruption)" ที่ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.92 (ในระดับ 0-10 โดย 0 หมายถึง เกลียดการทุจริตที่สุด) สะท้อนว่าสังคมไทยไม่ยอมรับและไม่ทนต่อปัญหานี้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามเมื่อเจาะลึกถึงสาเหตุสำคัญที่สุดของการทุจริต กลุ่มตัวอย่างระบุว่าเกิดจาก "ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย" (13.5%) "กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส" (11.6%) และ "ผลประโยชน์ทางการเมือง" (11.3%) โดยรูปแบบการทุจริตที่พบบ่อยที่สุดคือ "การไม่เปิดเผยข้อมูล หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน" (13.7%) “การเอื้อประโยชน์แก่ญาติ/พรรคพวก (Nepotism & cronyism)” (12.3%) และ "การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก" (10.9%)

สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด คือ "การตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง" (11.5%) และ “สนับสนุนให้เครือข่าย/ภาคธุรกิจ/ภาคประชาชนในการตรวจสอบ” (11.5%) ขณะที่กลยุทธ์สำคัญที่รัฐควรให้ความสำคัญอันดับแรก คือ "การสร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก" (22.9%) และ "การวางนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเท่าเทียม" (22.1%)

"ผลดัชนี CSI ที่ปรับตัวลดลงครั้งนี้สะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ดัชนีย่อยทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม และความรุนแรงของปัญหา แย่ลงพร้อมกันทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวลคือความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ในทางกลับกันความเชื่อมั่นต่อพลังของภาคประชาชนและสื่อมวลชนกลับเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองโดยการ 'บังคับใช้กฎหมาย' อย่างจริงจัง และสร้าง 'กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส' เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยด่วน"”

 

TAGS: #กกร. #ต่อต้านคอร์รัปชัน #Zero #Corruption