‘อรรคพล’ ดันนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน ลุย 5 โครงการโซลาร์ รวมถึงเร่งเดินหน้าโซลาร์ลอยน้ำ 3 เขื่อน กฟผ.ตอบรับเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดงาน “IEEE PES Dinner Talk 2025” จัดโดยสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดการเปลี่ยนผ่านระบบไฟฟ้าไทยสู่ความยั่งยืน ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงานครั้งสำคัญ เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 สำหรับประเทศไทยการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวต้องอาศัยทั้งนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีที่ทันสมัย และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเทคโนโลยีหลักที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems) โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ระบบบริหารจัดการพลังงานแบบดิจิทัล (Digital Energy Management) และไฮโดรเจน (Hydrogen Energy) ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาระบบพลังงานที่มั่นคง ยั่งยืน เป็นธรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศ
ทั้งนี้ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง“นโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์เชิงรุกของประเทศในการเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม มุ่งบรรลุผลในระยะสั้นได้จริง โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ในระยะสั้น 5 โครงการ ได้แก่ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร โครงการโซลาร์สูบน้ำชลประทาน โครงการติดโซลาร์ได้ลดหย่อนภาษี และโครงการโซลาร์ภาครัฐ
นอกจากนี้กระทรวงพลังงานยังเร่งเดินหน้าโครงการโซลาร์ลอยน้ำ 3 เขื่อน กฟผ. (เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม (Direct PPA และการพัฒนาระบบส่งระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ EEC) และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาวรองรับเป้าหมาย Net Zero Emission 2050 ผ่านการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่
รวมถึงการพัฒนาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยคาดว่าโครงการ “Quick Big Win” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท สร้างการจ้างงานกว่า 29,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ด้าน นายนรินทร์ เผ่าวณิช ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย( กฟผ.) ในนามนายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) กล่าวว่า งาน IEEE PES Dinner Talk 2025 จัดขึ้นในหัวข้อ “การเปลี่ยนผ่านโครงข่ายไฟฟ้าและทรัพยากรพลังงาน : ความท้าทาย โอกาส และมาตรการรองรับ” เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานได้ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ นโยบาย และเทคโนโลยีใหม่ ๆ นำไปสู่แนวทางในการต่อยอดระบบไฟฟ้าไทยให้เป็นธรรมและยั่งยืน
รวมถึงการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับสากล
สำหรับ กฟผ. ในฐานะองค์กรหลักด้านพลังงานของประเทศ ได้เดินหน้าภารกิจตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน มุ่งรักษาความสมดุลของระบบพลังงาน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พร้อมสนับสนุนสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ในการจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติ “IEEE PES GTD Asia 2025” เพื่อแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมพลังงานไทยบนเวทีโลก และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมพลังงานสะอาดระหว่างประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตามภายในงาน IEEE PES Dinner Talk 2025 ยังมีพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่วิศวกรและบุคลากรผู้มีผลงานดีเด่นในแวดวงพลังงาน ประจำปี 2025 และการเสวนา Panel Session โดยมีผู้แทนจาก PEA, MEA และ กฟผ. ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการเปลี่ยนผ่านโครงข่ายไฟฟ้าในยุคที่เทคโนโลยีพลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทางสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านพลังงานระดับประเทศและระดับโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมด้านไฟฟ้าและพลังงานของไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการในระดับนานาชาติ “IEEE PES GTD Asia 2025” เพื่อระดมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และผู้ประกอบการพลังงานจากทั่วโลก ร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ระหว่างวันที่ 26–29 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ