อดีต รมว. พาณิชย์ ชี้ ส่งออกเดือน ก.ย. ทะลุ 19% ย้ำพื้นฐานศก.แข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่เร่งหนีภาษีทรัมป์ แต่มาจากความเชื่อมั่นรัฐบาลเพื่อไทย -การลงทุนต่างชาติ จี้ อนุทิน เร่งปราบฟอกเงิน-สร้างความมั่นใจต
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนกันยายน ภายใต้รัฐบาลแพทองธาร พุ่งสูงถึง 19% ทั้งที่การเจรจาภาษีทรัมป์จบลงด้วยดีตั้งแต่เดือนสิงหาคมแล้ว ซึ่งเป็นการหักล้างคำวิจารณ์ของนักวิชาการที่กล่าวว่าการส่งออกที่ขยายตัวมากตั้งแต่ต้นปีมาจากการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษีทรัมป์ทั้งหมด
นายพิชัยฯ ยืนยันว่า การส่งออกปีนี้จะเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยและน่าจะขยายตัวได้เกิน 10% การขยายตัวมาจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง เช่น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ความมั่นใจในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และความสำเร็จในการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับ EFTA (ส่งออกไปสวิสขยายกว่า 400%) ซึ่งทำให้การส่งออกมีการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ ต่างจากช่วง 10 ปีก่อนหน้าที่การส่งออกขยายได้เฉลี่ยเพียง 1% กว่า
นอกจากนี้ นายพิชัยฯ ยังวิจารณ์โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราวอย่าง "คนละครึ่ง" ว่า จากการศึกษาในอดีต โครงการนี้แทบจะไม่เพิ่ม GDP เลยหรือเพิ่มได้น้อยมาก เพราะประชาชนเพียงแต่ลดค่าใช้จ่าย แต่ใช้จ่ายเท่าเดิม ซึ่งจะสะท้อนใน GDP ไตรมาสสุดท้ายที่คาดว่าจะออกมาไม่ดีนัก
นายพิชัยฯ เรียกร้องให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี รักษาความเชื่อมั่นของต่างประเทศ เพื่อให้การลงทุนและการส่งออกขยายตัวอย่างมั่นคงต่อไป โดยเฉพาะการเร่งสร้างความมั่นใจให้เกิดการลงทุนจริงตามที่ได้มีการขอส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.05 ล้านล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่เพื่อการส่งออกเป็นหลัก
ที่สำคัญ นายพิชัยฯ ชี้ว่าความมั่นใจของต่างประเทศขณะนี้ยังเกี่ยวข้องกับการปราบปราม "แก๊งค์ฟอกเงิน คอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์" โดยระบุว่ารัฐบาลยังไม่ได้เร่งดำเนินการเท่าที่ควร พร้อมเร่งให้ตรวจเส้นทางการเงินและยึดทรัพย์โดยเฉพาะการใช้บิตคอยน์ที่มี "บล็อกเชน" เป็นหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ หากทำช้าอาจทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียงอย่างมากว่ารัฐบาลไม่ปราบปรามอาชญากรรมอย่างจริงจังเพราะห่วงจะกระทบ ครม. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ การค้า การลงทุน และการส่งออกโดยรวม
นายพิชัยฯ สรุปว่า การที่ประเทศไทยสามารถกลับมาขยายการส่งออกและมีการลงทุนสูงถึงระดับล้านล้านบาทได้ แสดงให้เห็นถึงผลงานการสร้างความมั่นใจจากต่างประเทศ หากรักษาระดับนี้ไว้ได้ เศรษฐกิจไทยที่ซบเซามานานจะกลับมาฟื้นตัวและแข่งขันกับประเทศเวียดนามได้อีกครั้ง พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงข้อตกลงเรื่องแร่หายาก (Rare Earth) กับสหรัฐฯ และเจรจาลดภาษี Reciprocal Tariff เพื่อประโยชน์ของประเทศ