เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของครีเอเตอร์จำนวนมาก กลับสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจ การว่างงาน และความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรม ‘ปู-สุวิตา’ ชี้ คนอยู่รอดได้ต้องปรับตัวไว เข้าใจเทคโนโลยี และมีหัวใจความเป็นมนุษย์
อุตสาหกรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดทั่วโลกจะแตะระดับ 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท) แต่เบื้องหลังของการเติบโตอาจไม่ได้สะท้อนภาพบวกอย่างเดียว
‘ปู-สุวิตา จรัญวงศ์’ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เทลสกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ที่ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์แบบเต็มเวลามีแนวโน้มสูงขึ้นมากในปีนี้ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น การเลิกจ้าง การว่างงาน และการที่คนจำนวนมากกลายเป็นฟรีแลนซ์
“Full time คอนเทนต์ครีเอเตอร์ในปีนี้เยอะกว่าปีก่อนมากๆ ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ฟรีแลนซ์เยอะขึ้น การถูกเลย์ออฟก็เกิดขึ้นบ่อย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นข่าวดีเท่าไหร่” – ปู-สุวิตา
เมื่ออุตสาหกรรมไม่ง่ายเหมือนเดิม: อินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้รอดทุกคน
สุวิตาระบุว่า อุตสาหกรรมครีเอเตอร์ในวันนี้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก คนที่เคยเข้ามาในยุคก่อนอาจ “รอดหมด” แต่ปัจจุบันการแข่งขันสูงขึ้น ความท้าทายเพิ่มขึ้น และการพึ่งพาเพียงยอดติดตามหรือความนิยมเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในหลายส่วน เช่น การไลฟ์ขายของ ที่ AI สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและประหยัดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม เธอมองว่า คอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับ “ความเชื่อใจ” เช่น การรีวิวสินค้า หรือการเล่าเรื่องด้วยประสบการณ์ตรง ยังคงต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ผลิต เพราะ AI ไม่สามารถสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับผู้ชมได้เท่าคนจริง
คุณสมบัติของครีเอเตอร์ยุคใหม่: อยู่รอดได้ต้องยืนระยะและกล้าปรับตัว
สุวิตาแนะนำว่า อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในยุคนี้ ควรพัฒนาตัวเองใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่
-
การยืนระยะ (Consistency) – ต้องไม่ยอมแพ้ เพราะความสำเร็จในยุคนี้ใช้เวลานานกว่าเดิม
-
การมองหาแพลตฟอร์มใหม่ – เช่น Lemon8 หรือ XiaoHongShu ที่แม้ยังไม่เป็นกระแสหลัก แต่เริ่มเป็นที่จับตามองของแบรนด์
-
ทักษะการแสดงออก – โดยเฉพาะผู้ที่เป็น introvert ควรฝึกทักษะการสื่อสารแบบลึกซึ้ง เช่น eye contact และการเล่าเรื่องผ่านตัวเอง
แบรนด์ดิ้งผ่านครีเอเตอร์ต้องมี ‘Human Connection’
หนึ่งในเทรนด์สำคัญที่สุวิตามองว่าแบรนด์ควรให้ความสำคัญในปี 2568 คือการทำ Branding via Creators ที่เน้นความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคในระดับอารมณ์และคุณค่า ไม่ใช่เพียงแค่ยอดวิวหรือยอดไลก์
นอกจากนี้ กลยุทธ์แบบ O2O (Online to Offline) เช่น การจัดเวิร์กชอป อีเวนต์ หรือกิจกรรมที่พบปะผู้ติดตามจริง ก็เป็นอีกทางเลือกในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง
คอนเทนต์มาแรงปี 2568: สัตว์เลี้ยง-ข่าว-สุขภาพยืนยาว
จากการสังเกตเทรนด์ของผู้ชม ‘ปู-สุวิตา’ ยกตัวอย่างคอนเทนต์ที่มีแนวโน้มเติบโตในปีหน้า ได้แก่
-
คอนเทนต์สัตว์เลี้ยง – ทั้งหมา แมว และสัตว์แปลก (Exotic Pets)
-
ข่าว (News Creator) – เนื้อหาที่อธิบายข่าวเข้าใจง่าย ถูกต้อง และแม่นยำ
-
Longevity Content – สุขภาพเชิงรุก อายุยืนอย่างมีคุณภาพ ทั้งกายและใจ
ในขณะเดียวกัน สายการเงินยังคงได้รับความนิยม แต่ต้องปรับวิธีการเล่าให้เข้ากับผู้ชมมากขึ้น
สายคอนเทนต์ที่ต้องเร่งพัฒนา: บิวตี้ – ท่องเที่ยว
สุวิตาเตือนว่า ครีเอเตอร์สายบิวตี้และท่องเที่ยวยังคงหนาแน่นและล้นตลาด จำเป็นต้องสร้างความแตกต่างให้ชัดเจน เช่น เข้าใจรสนิยมคน Gen Z หรือเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์เฉพาะกลุ่ม
เธอย้ำถึงการ Repurpose Content หรือการนำคอนเทนต์เก่ากลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในแง่ต้นทุน และการขยายการมองเห็นของเนื้อหา
LGBTQ+ และ Micro-Influencers: โอกาสใหม่ของตลาด
สุวิตายังมองว่า กลุ่มครีเอเตอร์ LGBTQ+ ภายใต้บริบท Rainbow Economy คือกลุ่มที่มีพลังในการสร้างอิมแพกต์ทั้งในเชิงสังคมและธุรกิจ เพราะสามารถสร้าง Emotional Bonding กับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับ Trust, Authenticity และ Inclusion
ในขณะที่แบรนด์ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ Micro-Influencers ที่อาจมียอดติดตามไม่มาก แต่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางได้ดีกว่า เช่น ครีเอเตอร์สายภาษามือ, คอนเทนต์วาย, ยูริ และคอนเทนต์เฉพาะกลุ่มอื่นๆ
ยุคของ “ครีเอเตอร์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และเทคโนโลยี”
ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ยังไม่อวสาน แต่เข้าสู่ยุคที่ต้องใช้ ความสามารถ ความเข้าใจ และความอดทน มากกว่าที่เคย ผู้ที่สามารถผสาน “หัวใจความเป็นมนุษย์” เข้ากับ “ศักยภาพของเทคโนโลยี” อย่างลงตัว จะเป็นผู้ที่ยังสามารถยืนระยะในอุตสาหกรรมนี้ได้ต่อไป