"คงกระพัน"นำ ปตท.มุ่งสู่พลังงานสะอาด เร่งขับเคลื่อนเทคโนโลยีไฮโดรเจนในไทย

ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกกำลังมองหาทางออกที่ยั่งยืนและพลังงานไฮโดรเจนได้รับความสนใจในฐานะตัวแปรสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ครั้งใหญ่ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ไฮโดรเจนถูกมองว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดคาร์บอนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งประเทศไทยโดยกลุ่ม ปตท.ได้ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้วางยุทธศาสตร์ให้ ปตท.มุ่งสู่พลังงานสะอาดซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ ซึ่งนอกจากจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นNG Hub ในภูมิภาคแล้วในฐานะที่ก๊าซ LNG เป็น Destination Fuel แล้ว ไฮโดรเจนก็เป็นอีกหนึ่งพลังงานสะอาดที่ ปตท.ให้ความสำคัญ

ไฮโดรเจนในฐานะพลังงานแห่งอนาคตมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยกลุ่มปตท.ได้มีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนและการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ โดยในปี 2562 จัดตั้ง Hydrogen Thailand Club ร่วมกับภาครัฐและเอกชนเพื่อเตรียมความพร้อมและผลักดันเทคโนโลยีไฮโดรเจนในประเทศไทยปัจจุบันมีสมาชิก 54 บริษัท

ในปี 2565ได้มีการติดตั้งสถานีนำร่อง Hydrogen Station แห่งแรกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง PTT, OR, TOYOTA และ BIG เพื่อศึกษาการใช้ไฮโดรเจนในภาคการขนส่ง ปี 2566:ปตท.สผ. ชนะการประมูลโครงการพัฒนาไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศโอมาน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มในการพัฒนาพลังงานสะอาดในระดับโลก

ต่อมาในปี 2567 กลุ่ม ปตท. โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย และบีไอจี ได้ยกระดับ Hydrogen Thailand Club ให้เป็น สมาคมไฮโดรเจนแห่งประเทศไทย (Hydrogen Thailand Association) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีในประเทศจากนั้นในปี 2568: กลุ่ม ปตท. ลงนามบันทึกข้อตกลงการพัฒนาธุรกิจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำของกลุ่ม ปตท.เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net-Zero

แนวทางการดำเนินงานในอนาคต (Way Forward) กลุ่ม ปตท.มีแผนการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการใช้ไฮโดรเจนอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในอนาคต โดยมุ่งเน้นใน 4 ด้านหลัก ดังนี้ 1.การสนับสนุนด้านกฎหมายและนโยบาย:ให้ข้อมูลแก่ภาครัฐเพื่อพิจารณาการกำหนดให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง และให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงกฎระเบียบด้าน ความปลอดภัยในการผลิตและใช้งานไฮโดรเจน

2.การศึกษาผลกระทบเชิงเทคนิค: ศึกษาและประเมินผลกระทบของการผสมไฮโดรเจนในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจวางแผนนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐ 3.การประยุกต์ใช้ภายในกลุ่ม ปตท.: ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำไฮโดรเจนมาใช้ภายในกลุ่ม เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน 4.การถ่ายทอดองค์ความรู้:ถ่ายทอดข้อมูลเชิง
เทคนิคและข้อเสนอแนะให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การนำเทคโนโลยีไฮโดรเจนมาใช้ในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย


ปัจจุบันไฮโดรเจน(H₂)ที่มีมากที่สุดอยู่ในรูปของน้ำ (H₂O) บนโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ยังคงมีอุปสรรค โดยไฮโดรเจนมีคุณสมบัติที่น่าสนใจ คือ การเผาไหม้ที่สะอาด โดยมีเพียงไอน้ำเป็นผลลัพธ์ ทำให้ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม, การผลิตไฟฟ้า หรือการขนส่ง

อย่างไรก็ตาม ไฮโดรเจนก็มีความท้าทายไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่อง ราคา ที่ไฮโดรเจนสีเขียวและสีฟ้าซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีราคาสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่น ความยากในการจัดเก็บและขนส่ง เนื่องจากเป็นก๊าซที่มีโมเลกุลเล็กและเบา และที่สำคัญคือ ความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งต้องอาศัยกฎระเบียบและมาตรฐานที่รัดกุม

การผลิตไฮโดรเจนมีหลากหลายวิธี ซึ่งปลดปล่อยคาร์บอนไม่เท่ากัน ทำให้มีการกำหนด "สี" เพื่อบ่งบอกถึงความสะอาด โดยไฮโดรเจนสีเทา(Grey Hydrogen) ที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติและปล่อย CO₂ เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน ในขณะที่ไฮโดรเจนสีเขียว(Green Hydrogen)ถือเป็นสุดยอดพลังงานสะอาด เพราะผลิตจากกระบวนการแยกน้ำโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลม ซึ่งไม่ปล่อยคาร์บอนเลยนอกจากนี้ยังมีไฮโดรเจนสีน้ำตาล (Brown), สีฟ้า (Blue), และสีชมพู (Pink) ที่มีกระบวนการผลิตแตกต่างกันไป

ปัจจุบันกว่า 30 ประเทศทั่วโลกได้เริ่มใช้งานเทคโนโลยีไฮโดรเจนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในยุโรป, สหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง เนื่องจากมีความได้เปรียบในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว โดยเยอรมนีเปิดตัวรถไฟพลังงานไฮโดรเจนเป็น
ครั้งแรกของโลกเพื่อทดแทนรถไฟดีเซล ฝรั่งเศสมีการใช้เรือขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์และจักรยานที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน ญี่ปุ่นบริษัท Honda ได้ทดสอบ Data Center พลังงานไฮโดรเจน และ ISUZU ได้นำรถบรรทุกไฮโดรเจนมาทดลองใช้งานจริง ก่อนเตรียมเปิดขายในปี 2027

สำหรับประเทศไทยเองก็มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการนำไฮโดรเจนมาใช้ใน 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป็นเชื้อเพลิงสะอาดในกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การผลิตปิโตรเคมีและซีเมนต์ ภาคการผลิตไฟฟ้า โดยใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรงหรือผสมกับก๊าซธรรมชาติและ ภาคการขนส่ง สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) และรถบรรทุกขนาดใหญ่

รัฐบาลไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญของไฮโดรเจนและได้กำหนด ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ การพัฒนาตลาด,ส่งเสริมการวิจัย,พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงกฎระเบียบ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น (2025-2030): เน้นการเตรียมความพร้อมเช่น พัฒนาโครงการนำร่อง, จัดทำมาตรฐานความปลอดภัย และศึกษาธุรกิจใหม่ๆ

ระยะกลาง (2031-2040): พัฒนาไฮโดรเจนในเชิงพาณิชย์ โดยจะเริ่มผสมไฮโดรเจน 5-10% ในท่อก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า และส่งเสริมการลงทุนด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี ระยะยาว (2041-2050): มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissionsโดยจะเพิ่มสัดส่วนไฮโดรเจนเป็น 10-20% และพิจารณาภาษีคาร์บอนในโครงสร้างราคา

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยศักยภาพของไฮโดรเจนและแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของประเทศไทย อนาคตที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนอาจไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป

TAGS: #ปตท #คงกระพัน #พลังงานสะอาด #ไฮโดรเจน