ไทยอ่วมแบกหนี้ครัวเรือนละ 7.4 แสนบาทพบบัตรเครดิตต้นเหตุสูงสุด

ไทยอ่วมแบกหนี้ครัวเรือนละ 7.4 แสนบาทพบบัตรเครดิตต้นเหตุสูงสุด
ม.หอการค้าฯชี้หนี้ครัวเรือนยังสูงแม้มีแนวโน้มลดลง เฉลี่ยครัวเรือนละ 7.4 แสนบาท หวังโครงการคนละครึ่งเพิ่มสภาพคล่องช่วยลดรายจ่ายประชาชนได้

รศ.ดร.ธนวรรธน์   พลวิชัย  อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2568  ว่า ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเทียบกับจีดีพีอยู่ที่ 87.4 % ลดลงจากสินเชื่อครัวเรือนที่ชะลอตัวลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่สถานะทางการเงินของครัวเรือนนยังอยู่ในระดับที่แย่ลง  โดยภาระหนี้สินต่อครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ครัวเรือนละ 7.4 แสนบาทเพิ่มขึ้น 22% แยกเป็นหนี้ในระบบ 65% และนอกระบบ 35%  ขณะที่มีภาระการผ่อนชำระเฉลี่ยเดือนละ 2.2 หมื่นบาท

สำหรับประเภทหนี้สินมากสุดคือ บัตรเครดิต รองลงมาเป็นที่อยู่อาศัย และยานพาหนะ โดยสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาหนี้คือ รายรับไม่พอกับรายจ่าย  สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย  ซึ่งหนี้ครัวเอนเป็นปัญหามาตลอด 10 ปี  และมีอัตราสูงระดับ 80 % จีดี

“หนี้ครัวเรือนสูงถึง 7 แสนบาทต่อครัวเรือน เป็นอัตราที่ขยายตัวตามสถานการณ์คนมีรายได้น้อย  และเป็นหนี้นอกระบบที่สูงขึ้น เนื่องจากการปล่อยกู้ในระบบตึงตัว แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ  จะเห็นได้ว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อขยายตัวติดลบ   และหากเป็นแบบนี้เศรษฐกิจจะเริ่มมีอุปสรรค ประกอบกับยังมีสัญญาณเอ็นพีแอลที่สูงจากเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ลดลง”

อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลใหม่ตั้งใจจะเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนให้ดำเนินนโยบายคนละครึ่ง เพราะเชื่อว่าการใช้จ่ายประชาชนจะดีขึ้นหลังมีโครงการนี้ ซึ่งในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท จะทำให้จีดีพีโต 2 %  

นอกจากนี้จะได้เห็นแนวโน้มหนี้ครัวเรือนลดลง ถ้าทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ โดยหนี้ครัวเรือนจะลดต่ำกว่า 80% ภายใน  3 ปี  ขณะเดียวกันจะต้องดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว  และการปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพคล่องประชาชนดีขึ้น

 

TAGS: #ม.หอการค้าฯ #หนี้ครัวเรือน #คนละครึ่ง