กนอ.เฝ้าระวังพิเศษ 4 นิคมฯ อยุธยา-สมุทรปราการ กางแผนป้องกันระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและผู้ประกอบการ ทุ่มงบกว่า 1,857 ล้านบาท ลงทุนกำแพงกั้นน้ำท่วมโดยรอบ
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำและมาตรการป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่งที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง, นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน, นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ โดยยืนยันว่า ทุกแห่งมีความพร้อมรับมือสูงสุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ปัจจุบันแม้สถานการณ์น้ำในเดือนกันยายน 2568 จะยังอยู่ในภาวะปกติ แต่ กนอ. ไม่ได้นิ่งนอนใจยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ริมแม่น้ำและเส้นทางน้ำหลาก ประสบการณ์จากปี 2567 ที่แม้หลายพื้นที่จะประสบภัย แต่นิคมอุตสาหกรรมของเรายังคงปลอดภัย สะท้อนประสิทธิภาพของระบบที่เรามี เราพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
ด้านความคืบหน้าของระบบป้องกันน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งลงทุนไปแล้วรวมกว่า 1,857 ล้านบาท ทั้งที่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง (อยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีเขื่อนป้องกันความยาว 5.5 กม. สูง 8.15 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในปี 2554 (7.54 เมตร รทก.)
• นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน (อยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีระบบป้องกันที่ระดับความสูง +6.00 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) . สูงกว่าระดับน้ำท่วมปี 2554 (4.28 เมตร รทก.) อย่างชัดเจน
• นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (อยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีแนวป้องกันน้ำท่วมยาว 11 กม. ที่ระดับความสูง +5.40 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมในปี 2554 (4.90 เมตร รทก.)
• นิคมอุตสาหกรรมบางปู (สมุทรปราการ) สถานการณ์ปกติ ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 53% มีแผนดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2569 โดยจะสามารถสูบระบายน้ำได้160,000ลูกบาศก์ต่อชั่วโมง
นอกจากนี้แผนการดำเนินงานไม่ได้มีแค่โครงสร้าง แต่ครอบคลุม 4 ด้านสำคัญ ประกอบด้วย 1.ด้านโครงสร้าง การบำรุงรักษาและเสริมความแข็งแกร่งของกำแพงป้องกันอย่างสม่ำเสมอ 2.ด้านเครื่องจักร ที่มีการเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำกำลังสูงและระบบสำรองให้ใช้งานได้ทันที
3.ด้านการบูรณาการ โดยการทำงานร่วมกับกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามข้อมูลน้ำแบบเรียลไทม์ และ 4.ด้านการเตรียมพร้อม มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินร่วมกับโรงงาน และมีระบบสื่อสารแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
“บทเรียนจากมหาอุทกภัยปี 2554 ทำให้เราต้องลงทุนเพื่อความมั่นคงในระยะยาว การลงทุนทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่การป้องกันทรัพย์สิน แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน และประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” นายสุเมธ กล่าว