สกพอ.ลงนาม LOI กับ 7 บริษัทชั้นนำจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษกวางตุ้ง–ฮ่องกง–มาเก๊า สร้างโอกาสการลงทุน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายสู่พื้นที่ EEC
ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. เปิดเผยหลังร่วมลงนาม หนังสือแสดงเจตจำนงการลงทุน (LOI) ระหว่าง สกพอ. และ 7 บริษัทชั้นนำจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษกวางตุ้ง–ฮ่องกง–มาเก๊า (Greater Bay Area : GBA) ว่า ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนจีนต่อศักยภาพของประเทศไทย และพื้นที่อีอีซีในฐานะศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ของเอเชีย โดยคาดว่าจะเกิดเงินลงทุนรวมประมาณ 4,340 ล้านบาท
ทั้งนี้การลงนาม LOI ดังกล่าว เป็นกิจกรรมไฮไลต์สำคัญ ภายในการจัดงาน “Thailand–GBA Investment Gateway 2025: Unlock EEC Opportunities Forum” ณ สถานกงสุลใหญ่ นครกว่างโจว ซึ่งเป็นการจัดงานร่วมกันระหว่าง สกพอ. สมาคมการค้าส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-จีน (SIDTA) และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว โดยมีการรวมตัวของภาครัฐและเอกชน
รวมถึงพันธมิตรด้านการลงทุน เพื่อดึงดูดนักลงทุนจาก เขตเศรษฐกิจพิเศษ GBA เข้าสู่พื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นโครงการยุทธศาสตร์สำคัญของไทย และยกระดับความร่วมมือเชิงเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ในโอกาสเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งมิตรภาพไทย–จีน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีนอย่างคับคั่ง มีผู้เข้าร่วมกว่า 80 ราย จากบริษัทชั้นนำ 49 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ พลังงานสะอาด เทคโนโลยีชีวภาพ การบิน อากาศยานไร้คนขับ ยานยนต์สมัยใหม่ และนวัตกรรมทางการแพทย์
อย่างไรก็ตามประเทศไทยต้องการยกระดับให้พื้นที่อีอีซีเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลก ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ ครอบคลุมมาตรการจูงใจด้านภาษี เขตปลอดอากร การอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่า การจัดสรรที่ดินที่เหมาะสม และการลดขั้นตอนอนุญาตต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่เป็นมิตรอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ จะมุ่งมั่นผลักดันการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแพทย์และสุขภาพครบวงจร และ การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โดยอีอีซี ไม่ใช่แค่โครงการไทย แต่เป็นโอกาสของภูมิภาค ที่จะสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในอนาคต
ด้านนายกาจฐิติ วิวัธวานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย–จีนในระดับ “หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การค้าการลงทุนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อนหน้า และโดยเฉพาะกับมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นมณฑลที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของจีน มีมูลค่าการค้ากับไทยคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าการค้าทวิภาคีไทย-จีน
“ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่เชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งเป็นทำเลเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงทางโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือแหลมฉบังที่เป็นประตูสู่การค้าในภูมิภาค และการมีความตกลงการค้าเสรีกว่า 15 ฉบับ ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสามารถเข้าถึงตลาดกว่า 19 ประเทศแบบปลอดภาษี” กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว กล่าว
Dr. Zonglin Guo นายกสมาคมการค้าส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-จีน (SIDTA )กล่าวว่า SIDTA มีบทบาทสำคัญในการเป็น “สะพานเชื่อม” นักลงทุนจีนกับประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC เพื่อให้การลงทุนราบรื่น มั่นคง และยั่งยืน พร้อมชี้ว่า “ปี 2025 ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่จะผลักดันความเชื่อมั่นและการเติบโตอย่างยั่งยืนของทั้งสองประเทศ”
ด้าน นายเอกพล ยวงนาค เลขาธิการ SIDTA กล่าวเสริมว่า SIDTA ไม่ได้เป็นเพียงผู้ประสานงาน แต่ดำเนินงานในลักษณะ One-Stop Solution เชื่อมโยงนักลงทุนกับข้อมูล สิทธิประโยชน์ และเครือข่ายพันธมิตรครบวงจร อีกทั้ง SIDTA ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อร่วมกันอำนวยความสะดวกการลงทุนของนักลงทุนจีนและต่างชาติ กับ สกพอ. (MOU) ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ สร้างการจ้างงาน ยกระดับเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
สำหรับการจัดงานฯ ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความร่วมมือไทย–จีน ภายใต้บริบทความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยการเชื่อมโยงกับ Greater Bay Area ของจีน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ และผลักดันให้อีอีซี ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนคุณภาพสูงของภูมิภาคต่อไป