กนอ.ดึง ส.อ.ท. เร่งลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย หนุนไทยฮับภูมิภาค

กนอ.ดึง ส.อ.ท. เร่งลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย หนุนไทยฮับภูมิภาค
กนอ.จับมือส.อ.ท.เอ็มโอยูยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย วางขอบข่ายความร่วมมือ 4 ด้านหลัก ปรับโครงสร้างพื้นฐานเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนจากต่างชาติ

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)  เปิดเผยหลังร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เพื่อยกระดับและเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายว่า การลงนามในครั้งนี้นับเป็นการผนึกพลังของสององค์กรที่มีศักยภาพแตกต่างกัน กนอ. มีความพร้อมด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน  ขณะที่ ส.อ.ท. เป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิดและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้จะสอดคล้องกับนโยบาย NOW Thailand ของ กนอ. และนโยบาย One FTI ของ ส.อ.ท.ที่จะตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยให้เป็น New Growth Engine ของประเทศ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยรวม

นอกจากนี้ความร่วมมือดังกล่าวเป็นเวทีสู่การพัฒนานวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)  โดย กนอ.มุ่งขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็น ‘Smart Industrial Estate’ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง

“ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยการเกื้อหนุนศักยภาพระหว่าง กนอ. และ ส.อ.ท. จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเติบโตอย่างมั่นคง และนำพาประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมของภูมิภาค พร้อมกับการเติบโตที่สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายสุเมธ กล่าว

สำหรับยอดขาย/เช่าที่ดินในนิคม ในช่วง  10 เดือน(ต.ค.2567-ก.ค.2568)ปีงบประมาณ 2568 ปี 2566 อยู่ที่ 4-5 พันไร่ ซึ่งจากเป้าเดิมมองไว้ในที่ 1 หมื่นไร่  เนื่องจากมีปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยสิ้นปีงบน่าจะปิดได้ประมาณ 6 พันไร่  แต่เชื่อว่าในปี 2569 ยอดขาย/เช่าที่ดินในนิคมจะแตะ 1 หมื่นไร่ได้แน่นอน เมื่อมองจากแนวโน้มการลงทุนที่จะดีขึ้น

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็มีโอกาสสำคัญจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 สูงถึง 1.058 ล้านล้านบาท เติบโต 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

การที่นักลงทุนจะตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูง พื้นที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ตลาด และท่าเรือเพื่อความพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม คือ หัวใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุน

ทั้งนี้ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศการผลิต (Ecosystem) ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ Data Center เกษตรและชีวภาพขั้นสูง รวมถึง Climate Tech ด้วยเหตุนี้ ส.อ.ท.จึงมุ่งผลักดันให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งประกอบไปด้วย S-Curve & New S-Curve  รวมทั้ง BCG และ Climate Change ซึ่งเป็นนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของโลก และนโยบายของภาครัฐ 

 “ส.อ.ท. พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับ กนอ. ทั้งเรื่องการประสานงานกับสมาชิกส.อ.ท. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม การรวบรวมความเห็นจากภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนากฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้สมาชิกใช้บริการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ One Stop Service ของ กนอ. และที่สำคัญที่สุด คือ การผลักดันมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุน และผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” นายเกรียงไกร กล่าว

อย่างไรก็ตามขอบข่ายความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ประกอบด้วย

1.การเร่งรัดการลงทุน ด้วยการร่วมกันจัดทำแนวทางและแผนสร้างแรงจูงใจ เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

2.ความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เพื่อใช้กำหนดนโยบายและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

3.การพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดย กนอ. จะสนับสนุนการใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) และ "ทางด่วน" การลงทุน (Investment Fast Track)

และ 4.การส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมกันยกระดับผู้ประกอบการด้วยมาตรฐาน "โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory)" ตั้งแต่การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน การให้การรับรอง การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการมอบสิทธิประโยชน์และจัดพิธีมอบรางวัล

 

TAGS: #กนอ. #อุตสาหกรรมเป้าหมาย