ภาษีสหรัฐพ่นพิษ สินค้าจากจีนเสี่ยงทะลักเข้าไทยสูงสุด

ภาษีสหรัฐพ่นพิษ สินค้าจากจีนเสี่ยงทะลักเข้าไทยสูงสุด
สนค. ชี้เป้ากลุ่มสินค้ายานพาหนะ อุตสาหกรรม และอุปโภคบริโภค เตรียมพาเหรดแข่งตลาดในไทยหลังสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีใหม่หวั่นกระทบภาคการผลิต ซ้ำเติมSME

น.ส.ณิชชาภัทร กาญจนอุดมการณ์   ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน (พข.)สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึง เผยผลการศึกษา “การวิเคราะห์การเบี่ยงเบนทางการค้า: กรณีการไหลทะลักของสินค้าจีนหลังสหรัฐฯ กำหนดภาษีต่างตอบแทนจากไทย 19%” ว่า จีนเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด ที่จะเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าและส่งออกสินค้าทะลักเข้ามายังประเทศไทย 

ทั้งนี้ตามที่สหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนใหม่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับไทยที่ 19% แต่กำหนดอัตราที่สูงกว่ากับประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยหลายประเทศ เช่น จีน (34%) ไต้หวัน (20%) เวียดนาม (20%) และอินเดีย (25%) ได้สร้างความเสี่ยงที่จะเกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) ซึ่งสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงอาจทะลักเข้ามาในตลาดไทยแทน

สำหรับสถานการณ์ดังกล่าวแม้จะมีข้อดีในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคและกระตุ้นการแข่งขัน แต่หากการไหลทะลักดังกล่าวรุนแรงเกินไปจะส่งผลเสียต่อภาคการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จนนำมาสู่การลดกำลังการผลิต การจ้างงาน อีกทั้งยังส่งผลให้ขาดดุลการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

ดังนั้น สนค.จึงได้ทำการศึกษาผลกระทบและประเมินความเสี่ยงเพื่อเตรียมมาตรการรับมือเชิงรุก เพื่อให้ภาครัฐและผู้ประกอบการไทยสามารถรับมือกับผลกระทบเชิงลบได้อย่างทันท่วงที โดยได้ศึกษาวิเคราะห์โอกาสการเบี่ยงเบนเส้นทางการค้า (Trade Diversion) พิจารณาจากปัจจัย 6 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ช่องว่างอัตราภาษีและต้นทุน 2. โครงสร้างสินค้าและอุปสงค์

3.ห่วงโซ่อุปทานและข้อตกลงการค้า 4. โลจิสติกส์และภูมิศาสตร์ 5. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน และ 6.นโยบายกำกับและการบังคับใช้ พบว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะมีการไหลทะลักของสินค้าเข้ามาในไทย เนื่องจากมีส่วนต่างอัตราภาษีกับไทยมากที่สุดถึง 15%

ขณะที่แรงกดดันจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) และการอุดหนุนจากภาครัฐที่ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่เดิมและความสะดวกทางการค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ยิ่งเอื้อให้สินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทยได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตามข้อมูลเชิงประจักษ์จากการวิเคราะห์การไหลทะลักของสินค้าจากดัชนีการไหลทะลักของสินค้า (Spill-over Index) ยืนยันสถานการณ์การไหลทะลักของสินค้าจากจีน โดยค่าดัชนีได้พุ่งขึ้นจากระดับ 100 ในปี 2561 (ก่อนสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน) มาอยู่ที่ระดับสูงสุด 130 ในปี 2567 ภายในช่วง 7 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงการไหลเข้าของสินค้าจีนที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กลุ่มสินค้าที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มยานพาหนะและส่วนประกอบ กลุ่มสินค้าภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อชี้เป้าสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง สนค. ได้พัฒนาระบบเตือนภัย (Warning System) ขึ้นโดยใช้ 3 ตัวชี้วัดสำคัญได้แก่ 1. ส่วนแบ่งนำเข้าจากจีน 2. อัตราการขยายตัวของมูลค่านำเข้า

และ 3. ช่องว่างราคานำเข้า จากจีนมากกว่าช่องว่างราคาจากโลก และจัดกลุ่มจำแนกตามความเสี่ยงการไหลทะลักของสินค้าจีนออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ สูง ค่อนข้างสูง เฝ้าระวัง ค่อนข้างเฝ้าระวัง และต่ำ ซึ่งผลการประเมินสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนจำนวน 1,149 รายการ พบว่าส่วนใหญ่จำนวน 904 รายการ (78.7%) ยังอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำกลุ่มค่อนข้างเฝ้าระวัง 38 รายการ

อย่างไรก็ตามมีสินค้า 24 รายการที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยง "สูง" 17 รายการอยู่ในกลุ่ม "ค่อนข้างสูง" และอีก 166 รายการอยู่ในกลุ่ม "เฝ้าระวัง" ซึ่งสินค้ากลุ่มเสี่ยงไหลทะลักในระดับ “เฝ้าระวัง”-“สูง” เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งแม้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคการผลิตในเชิงต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่การพึ่งพิงการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากจีนในสัดส่วนที่สูงเกินไป ก่อให้เกิดความเสี่ยงและความเปราะบางต่อความผันผวนของราคา นโยบาย

ตลอดจนข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันสินค้าอุปโภคบริโภคที่แข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตในประเทศหลายรายการ เช่น สุรา กะหล่ำปลี เสื้อผ้า และเครื่องเรือนพลาสติก ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs

ทางสนค. ได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับการไหลทะลักของสินค้าจีน โดยแบ่งเป็นมาตรการระยะสั้นที่เน้นการเฝ้าระวังเชิงรุกและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น และมาตรการระยะกลางถึงยาวที่มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

ทั้งนี้สนค.จะนำผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทั้งหมดเข้าหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการค้าต่างประเทศ กรมศุลกากร และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อประมวลผลความคิดเห็นและข้อมูล ก่อนจะนำมาสู่การจัดทำยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อรับมือกับสถานการณ์การไหลทะลักของสินค้าอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

TAGS: #สนค. #ยานพาหนะ #ภาษีสหรัฐ #SME