กกร.ห่วงเศรษฐกิจชะลอว่างงานพุ่ง ท่องเที่ยวแผ่ว ขณะที่การเมืองไม่นิ่งกระทบเบิกจ่ายงบ รวมถึงความผันผวนสงครามการค้า คาดครึ่งหลังของปีโตไม่เกิน 1%
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงปั่นป่วนจากนโยบายการค้าสหรัฐ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการรอผลตัดสินจากศาลสูงสุด ภายหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินว่าการขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ ปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การประมาณการเศรษฐกิจโลกสำหรับปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว เศรษฐกิจไตรมาสที่สองขยายตัว 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาสที่หนึ่ง ส่วนอัตราการว่างงานในระบบในไตรมาสที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% ในไตรมาสที่หนึ่ง และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานอยูที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นราว 5% จากปีก่อน และภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาฯ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของ SMEs เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่าปี 2568 จีดีพีไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% เนื่องจากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น
นอกจากนี้กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่กลับมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ
รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เช่น พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund
อย่างไรก็ตามกกร. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีความเปราะบาง จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ขณะเดียวกันรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถ ลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ทั้งนี้จากที่ กกร. ได้เข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยตระหนักถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ทั้ง 1.ความเปราะบางที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่
2.ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ ขาดการลงทุนพัฒนาผลิตภาพ ขณะที่แรงงานขาดทักษะที่จำเป็น และ 3.ความท้าทายของภาครัฐ จากพลวัตของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรงและรวดเร็ว และการไม่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงของนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงได้เห็นร่วมกันในการจัดทำกรอบแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
นายผยง กล่าวว่า จากความร่วมมือดังกล่าวได้นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง สร้างพลวัตใหม่เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดย Reset Thailand จะถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของทุกองค์กรแนวร่วม เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางและสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
ทางภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อและส่งเสริมให้เกิดการเร่งปรับตัวและเรียงลำดับความสำคัญ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ทุกฝ่ายจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ โดยมีการสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย การกลั่นกรองแนวทาง การขับเคลื่อนการดำเนินงาน
ตลอดจนการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง (Result Oriented) โดยเน้นการใช้ข้อมูล (Data-Driven) เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาอย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน พลิกฟื้นศักยภาพในการแข่งขัน Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง โดยจะเริ่มประสานเพื่อผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง ได้แก่
1.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยบูรณาการทั้งระบบ เชื่อมโยงข้อมูล นำไปสู่การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และ 2. การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นการลงทุนในเทคโนโลยี ยกระดับทักษะแรงงานและการผลิตด้วยคนไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ เพื่อสร้างตลาด ทั้งสองนโยบายเป็นเพียงตัวอย่างของแนวนโยบายที่สะท้อนวิธีคิดใหม่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ทั้งนี้จะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในอนาคต โดยแนวทางที่วางไว้ภายใต้แพลตฟอร์มนี้ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย สามารถใช้เป็น “เข็มทิศ” ให้กับทุกรัฐบาล ในการวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพิ่มทักษะ สร้างการจ้างงาน รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรมและวัดผลได้