ธุรกิจเดินเรือเผชิญแรงกดดันลดคาร์บอน ท่ามกลางยุคพลังงานสะอาด

ธุรกิจเดินเรือเผชิญแรงกดดันลดคาร์บอน ท่ามกลางยุคพลังงานสะอาด
ในยุคที่พลังงานสะอาดกำลังกลายเป็นกระแสหลักในภาคธุรกิจต่างๆ หนึ่งในภาคส่วนที่ต้องเร่งปรับตัวอย่างจริงจังคือ ธุรกิจเดินเรือ ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญแรงกดดันจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นทั่วโลก

ปัจจุบัน การขนส่งทางเรือถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าโลก โดยรองรับมากกว่า 80% ของปริมาณการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ภาคเดินเรือยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) กว่า 850 ล้านตันต่อปี คิดเป็นราว 2% ของการปล่อย CO₂ ที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานทั่วโลก เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศพัฒนาแล้วอย่าง ญี่ปุ่น

ด้วยเหตุนี้ การลดการปล่อย CO₂ จากภาคเดินเรือจึงกลายเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero ทั่วโลก โดย องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) และ สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) อย่างเข้มข้น

IMO ตั้งเป้าลดการปล่อย GHG จากภาคเดินเรือลงอย่างน้อย 20% ภายในปี 2050 เทียบกับปี 2008 ขณะที่ EU ได้กำหนดเป้าลดการปล่อย GHG ของเรือขนาด 5,000 ตันขึ้นไปอย่างต่อเนื่องทุก 5 ปี จาก -2% ในปี 2025 ไปสู่ -80% ในปี 2050 เทียบกับระดับในปี 2020

ไทยต้องเร่งปรับตัว ภาคเดินเรือปล่อย CO₂ สูงถึง 50 ล้านตันต่อปี

สำหรับประเทศไทย ภาคการเดินเรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 50 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของการปล่อย GHG ทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อ IMO เตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บค่าปรับจากการปล่อย GHG เกินเป้าในปี 2028 หากไม่มีการปรับตัว อุตสาหกรรมเดินเรือไทยอาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

ทางเลือกใหม่ของเชื้อเพลิงเดินเรือ: โอกาสและข้อจำกัด

การเปลี่ยนผ่านจากน้ำมันเตาไปสู่เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้นกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยมี LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) และ เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) เป็นทางเลือกสำคัญ

  • LNG มีความพร้อมเชิงพาณิชย์สูงกว่าทางเลือกอื่น แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากปัญหาการรั่วไหลของก๊าซมีเทนและการปล่อย CO₂ ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นเพียง "เชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่าน" ชั่วคราว

  • Biofuels แบบยั่งยืน สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ แต่ปัญหาใหญ่คือ ปริมาณวัตถุดิบที่จำกัดและต้นทุนสูง ทำให้เหมาะสำหรับระยะสั้นถึงกลาง

ในระยะยาว ภาคการเดินเรือจำเป็นต้องวางกลยุทธ์การเลือกใช้เชื้อเพลิงอย่างชาญฉลาด โดยพิจารณาทั้ง ความพร้อมด้านเทคโนโลยี ความยั่งยืน และความยืดหยุ่นในอนาคต เพื่อให้สามารถตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แรงกดดันใหม่ต่อธุรกิจโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันของไทย

การเปลี่ยนผ่านสู่เชื้อเพลิงเดินเรือสะอาด ไม่เพียงกดดันธุรกิจเดินเรือเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบ เชิงโครงสร้าง ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของไทย โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเตาเป็นหลัก

หากไม่เร่งปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ เช่น การพัฒนา เชื้อเพลิงชีวภาพผสม หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (E-fuels) ที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำ ธุรกิจเหล่านี้อาจต้องเผชิญกับ ความเสี่ยงของสินทรัพย์เสื่อมค่า (Stranded Asset) และการลงทุนที่ไม่ตอบโจทย์ในอนาคต

แม้ภาคเอกชนบางส่วนเริ่มขยับปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว แต่ยังคงติดปัญหาหลายด้าน เช่น ขาดทิศทางนโยบายรัฐที่ชัดเจน และยังไม่มีมาตรฐานเชื้อเพลิงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

บทบาทของภาครัฐ: เร่งวางยุทธศาสตร์อย่างรอบคอบ

ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งกำหนด ยุทธศาสตร์การลงทุนเชิงรุก และพัฒนานโยบายสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น สถานีจ่ายเชื้อเพลิงสะอาดที่ท่าเรือหลัก เพื่อป้องกันการลงทุนผิดทิศทาง

หากประเทศไทยสามารถปรับตัวได้อย่างทันเวลา ก็จะยังสามารถรักษาบทบาทในห่วงโซ่พลังงานและการเดินเรือโลกได้อย่างมั่นคง ในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเต็มตัว

TAGS: #NetZero #GHG #พลังงานสะอาด #เศรษฐกิจสีเขียว #ธุรกิจยั่งยืน #CarbonNeutral