“พิชัย” เร่งปิดดีล FTA ไทย-EU สิ้นปีนี้ หนุนร่วมมือการค้า-การลงทุนยุโรป 

“พิชัย” เร่งปิดดีล FTA ไทย-EU สิ้นปีนี้ หนุนร่วมมือการค้า-การลงทุนยุโรป 
“พิชัย” ปาฐกถาพิเศษ บนเวที EABC เร่งปิดดีล FTA ไทย-EU สิ้นปีนี้ หนุนร่วมมือการค้า-การลงทุนกับยุโรป สร้างแต้มต่อให้ประเทศ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมกล่าวปาฐกถาในงาน EABC Luncheon: Advancing Trade, Investment, and FTAs in a Shifting Global Landscape จัดโดย สมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์(European Association for Business and Commerce: EABC) ณ โรงแรมดิ แอทธินี กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนภาคธุรกิจยุโรป สมาชิก EABC และผู้แทนทางการทูต เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

นายพิชัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยภายใต้การนำของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ภาคการส่งออกของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยซบเซามานานกว่า 10 ปี ที่ผ่านมาการส่งออกเฉลี่ยเติบโตเพียง 1.9% ต่อปี แต่หลังจากรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้าบริหารประเทศ มีการลงทุนไหลเข้ามากถึง 2.58 ล้านล้านบาท และการส่งออกในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ขยายตัวถึง 13.3% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุด ไม่เห็นตัวเลขนี้นับ 10 ปี ขณะที่ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวสูงถึง 14.9% โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียวโตถึง 18.4% สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และคาดว่าเดือนนี้ตัวเลขก็จะดีเช่นกัน

รัฐบาลมุ่งส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนในอุตสาหกรรมศักยภาพสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น แผงวงจรพิมพ์ (PCB) และเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศและการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุน และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจภูมิรัฐศาสตร์ และภาษีทรัมป์

นายพิชัย กล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจา FTA ไทย–สหภาพยุโรป (EU) ว่า เป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุดของรัฐบาลไทย และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ความตกลง FTA ฉบับนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับยุโรป ขยายการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน เห็นว่าการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและนักธุรกิจยุโรปจะช่วยให้การเจรจา FTA ไทย-EU สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น

ทั้งนี้ การเจรจารอบที่ 6 ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้ข้อยุติใน 3 บท ได้แก่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การค้ากับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TSD) และอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) ส่งผลให้มีบทที่สรุปแล้วทั้งหมด 7 บท ขณะเดียวกันได้เริ่มหารือในหัวข้อสำคัญอย่างการเปิดตลาดแล้ว

“ความสำเร็จของการเจรจา FTA ไทย–EU ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย ผมจึงขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากท่านเพื่อให้เราสามารถสรุปความตกลงฉบับนี้ได้ภายในสิ้นปีนี้ และสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว”รมว.พาณิชย์ กล่าว

สำหรับความตกลงการค้าเสรี ไทยมี FTA ที่มีผลบังคับใช้แล้ว 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศทั่วโลก และได้เจรจาเสร็จสิ้นอีก 3 ฉบับกับศรีลังกา EFTA และภูฏาน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการให้สัตยาบัน โดยเฉพาะ FTA ไทย–EFTA ซึ่งเป็นความตกลงฉบับแรกกับประเทศในยุโรป ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายความร่วมมือทางการค้า

โดยสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (EABC) ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2554 โดยความร่วมมือของหอการค้ายุโรป องค์กรธุรกิจยุโรป และนักธุรกิจในประเทศไทยกว่า 130 ราย อาทิ DHL, Airbus, AstraZeneca, PepsiCo และ L’Oréal โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนบรรยากาศการค้าและการลงทุนของยุโรปในไทย และใช้ไทยเป็นประตูสู่ตลาดอาเซียน

ทั้งนี้ในช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2568 EU เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยมีมูลค่าการค้ารวม 18,092.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 0.57 โดยไทยส่งออกไปยัง EU มูลค่า 10,696.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.86 และนำเข้าจาก EU มูลค่า 7,395.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 9.40 ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้ากับ EU มูลค่า 3,301.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

TAGS: #FTA #ยุโรป #พิชัยนริพทะพันธุ์ #เอฟทีเอ