Vegan Pet Food ทางเลือกใหม่พลิกเกมส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทย โอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ไม่ควรมองข้ามปักหมุดตลาดยุโรป-สหรัฐ
Krungthai Compass ธนาคากรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2567 ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไปตลาดโลก คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 14.3 % CAGR ( Compound Annual Growth Rate ) หรือ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (ปี 2563-2567) ซึ่งหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญ คือ กระแส Pet Humanization หรือแนวโน้มที่คนมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว
ปัจจุบันไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ไปตลาดสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 1 ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 20.2%CAGR (ปี 2563-2567) โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังเติบโต 7.1%YoY แต่ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย อาจเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทยตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ได้ในระยะยาว
ทั้งนี้เทรนด์การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ จะยังเป็นโอกาสของผู้ประกอบการผลิตและส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในยกระดับไปสู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ลดการทารุณกรรมสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากพืช เป็นต้น
ดังนั้น ชี้ให้เห็นว่า อาหารสัตว์เลี้ยงจากพืช (Vegan Pet Food) จะเป็นอีกหนึ่ง Segment ที่น่าสนใจของผู้ประกอบการไทยในการขยายไปสู่ผู้บริโภคในตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
สำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงจากพืช (Vegan Pet Food) คือ อาหารที่ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ใดๆ แต่ใช้วัตถุดิบจากพืช เช่น ถั่วลันเตา ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และธัญพืชต่างๆ แทน และเสริมสารอาหารจำเป็น เช่น ทอรีน วิตามิน B12 และ D3 เพื่อให้ครบถ้วนตามความต้องการของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในสุนัขที่เป็นสัตว์กินทั้งเนื้อและพืช (Omnivore) อาหารวีแกนสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยหากมีการออกแบบสูตรที่เหมาะสม ส่วนแมว ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อโดยธรรมชาติ (Obligate Carnivore) อาจต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษหากกินอาหารวีแกน เพราะสารอาหารที่ได้จากอาหารวีแกนอาจไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเลือกอาหารสัตว์เลี้ยงจากพืชเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม จริยธรรม และสุขภาพสัตว์เลี้ยง โดยปัจจุบันมีแบรนด์ต่างชาติที่ผลิตเฉพาะอาหารวีแกน เช่น V-Planet, Benevo และ Wild Earth
Future Market Insights คาดว่า มูลค่าตลาด Vegan Pet Food ของโลก ในปี 2577 จะเติบโตไปอยู่ที่ 57 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) จากเดิมในปี 2567 ที่มีมูลค่า 27 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 0.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งแม้มูลค่าตลาด Vegan Pet Food จะมีขนาดตลาดไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาด Pet Food แต่ก็ยังมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.8% CAGR (2567-2577) และสูงกว่าเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยของ Pet Food ของโลก ซึ่งอยู่ที่ 6.5%CAGR (2567-2577) เนื่องจาก 1 ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมที่คู่ค้าให้ความสำคัญ 2. ช่วยส่งเสริมสุขภาพของสัตว์เลี้ยง และ 3.พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะให้สัตว์เลี้ยงกิน Vegan Pet Food มากขึ้น
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ Vegan Pet Food จะช่วยพลิกเกมส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทย คือ 1. ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมที่คู่ค้าให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นหนึ่งในสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังคำนึงถึงสวัสดิภาพของสัตว์อีกด้วย เพราะไม่มีการใช้เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ โดยจากการศึกษาของ Andrew Knight (2566) ชี้ว่า การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจากพืชจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบดั้งเดิม สะท้อนจากการผลิตอาหารสุนัขจากพืช จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พื้นที่ และลดปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตได้ถึง 75.1% 85.9% และ 32.7% เมื่อเทียบกับการผลิตอาหารสุนัขดั้งเดิม ตามลำดับ
ขณะที่การผลิตอาหารแมวจากพืช จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พื้นที่ และลดปริมาณน้ำที่ใช้ ในการผลิตได้ถึง 73.3% 84.7% และ 30.7% เมื่อเทียบกับการผลิตอาหารแมวดั้งเดิม ตามลำดับ
2. ช่วยส่งเสริมสุขภาพของสัตว์เลี้ยง โดยงานวิจัยของ University of Winchester (2567) ที่ศึกษาเกี่ยวกับด้านสุขภาพกลุ่มตัวอย่างสุนัข 1,706 ตัว ที่ในช่วงแรกให้กินอาหารสัตว์เลี้ยงดั้งเดิมที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม หลังจากนั้นเปลี่ยนมากินอาหารสัตว์เลี้ยงจากพืช ชี้ว่า สัดส่วนของสุนัขที่เปลี่ยนหันมากินอาหารสัตว์เลี้ยงจากพืชนานกว่า 1 ปี จะมีผลกระทบด้านสุขภาพที่ลดลงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของสุนัขที่เมื่อก่อนกินอาหารสัตว์เลี้ยงดั้งเดิม ที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม อาทิ ลดการไปพบสัตวแพทย์ ลดการใช้ยา ลดการใช้อาหารเพื่อรักษาโรค และลดการเจ็บป่วย ที่รุนแรงสูงถึง 10.9% 16.3% 3.5% และ 9.4% ตามลำดับ
สอดคล้องกับผลการสำรวจของ Dog Food Advisor (2567) ที่พบว่าสุนัขที่กินอาหารจากพืชมีอัตราการเกิดโรคสุขภาพโดยรวมต่ำที่สุดที่ 36% เมื่อเทียบกับสุนัขที่กินอาหารเนื้อดิบที่มีอัตราการเกิดโรค 43% และสุนัขที่กินอาหารเนื้อทั่วไปที่มีอัตราการเกิดโรค 49% เช่นเดียวกับสุนัขที่กินอาหารจากพืชมีความเสี่ยงด้านสุขภาพลดลง 50-61% เมื่อเทียบกับสุนัขที่กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นหลัก
3.พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะให้สัตว์เลี้ยงกิน Vegan Pet Food มากขึ้นพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มจะให้สัตว์เลี้ยงหันมากิน Vegan Pet Food เพิ่มมากขึ้น โดยการศึกษาของ ProVeg International (2564) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการเปลี่ยนแปลงระบบอาหาร พบว่า 72% ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ เปิดใจให้กับ Vegan Pet Food โดยมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับข้อมูลจาก Mintel (2563) ที่ระบุว่า 34% ของผู้เลี้ยงสุนัขในสหราชอาณาจักรเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สัตว์เลี้ยงจะหันมากินอาหารจากพืชแทนเนื้อสัตว์
ขณะที่ผลสำรวจของ American Pet Products Association (2566) ระบุว่า 34 ของ เจ้าของสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงมังสวิรัติและอาหารจากพืชที่มีคุณภาพสูง ด้านนิตยสาร GlobalPETS (2565) รายงานผลสำรวจจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงในฝรั่งเศส พบว่า 40% นิยมให้สัตว์เลี้ยงกิน Vegan Pet Food เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ควบคุมน้ำหนัก และเพิ่มความสดใสให้กับผิวหนังและขนของสัตว์เลี้ยง
หากผู้ประกอบการไทยยกระดับการผลิตสู่ Vegan Pet Food จะสร้างโอกาสให้ธุรกิจ ช่วยเพิ่มอัตรากำไรสุทธิให้กับภาคธุรกิจได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตมีอัตรากำไรเฉลี่ยเป็นราว 13% สูงกว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงดั้งเดิมซึ่งอยู่ที่ 2% โดยใช้โครงสร้างต้นทุนอ้างอิงจากงานวิจัยเรื่องการวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศไทย และกำหนดให้ต้นทุนราคาวัตถุดิบ Vegan Pet Food สูงกว่าต้นทุนราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วไป 12% อ้างอิง The Pack ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจากพืชของสหราชอาณาจักร
ขณะที่ผู้ประกอบการผลิต Vegan Pet Food สามารถปรับราคาส่งออกได้สูงกว่าราคาส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วไปราว 21% โดยอ้างอิงราคาส่งออกจากกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานที่ว่าปริมาณขาย และต้นทุนอื่นๆ ของอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วไป และ Vegan Pet Food เท่ากัน
นอกจากนี้ช่วยเพิ่มโอกาสจากตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัว โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่มี Market Share การนำเข้าสินค้าในกลุ่ม Vegan Pet Food สูงถึง 60% ของการนำเข้าทั้งโลก จากรายงานของ Future Market Insight คาดการณ์ว่าในปี 2577 มูลค่าการนำเข้าสินค้า Vegan Pet Food ของสหภาพยุโรปจะอยู่ที่ประมาณ 34.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีมูลค่าประมาณ 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 0.6 ล้านล้านบาท) หรือเติบโตเกือบเท่าตัว คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 7.8%CAGR (2567–2577) ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุโรป ทั้งในด้านคุณภาพ วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงการได้รับมาตรฐานด้านสุขภาพและความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายส่วนแบ่งตลาดได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
Krungthai COMPASS คาดว่า มูลค่าการส่งออกสินค้า Vegan Pet Food ของไทยไปยังตลาดสหภาพยุโรปในปี 2577 คาดจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ราว 1.2 พันล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 14%
ทั้งนี้แนะนำผู้ประกอบการผลิต Vegan Pet Food ควรให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับคุณภาพและเป็นที่ยอมรับจากประเทศคู่ค้า เนื่องจากปัจจัยเรื่อง รสชาติ ความน่ารับประทาน และการย่อยง่าย เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ตัวอย่างเช่น บริษัท Wilde Earth จากสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาร่วมกับสัตวแพทย์โดยใช้โปรตีนจากเชื้อรา (Koji) ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่ใช้หมักอาหารญี่ปุ่น เช่น มิโสะ และโชยุ และมีคุณค่าทางอาหารอย่างกรดอะมิโนที่จำเป็น ใกล้เคียงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และย่อยง่าย เหมาะสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและคู่ค้าระดับโลก
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรลงทุนด้าน R&D เพื่อสร้างจุดแข็งและเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานโภชนาการ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลศึกษากฎระเบียบด้านการผลิตและการส่งออกอาหารสัตว์ ตลอดจนข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต้องมีการติดตามกฏระเบียบ และปฏิบัติตามกฏระเบียบอย่างเคร่งครัด รวมทั้งต้องมีการขอใบอนุญาตในการส่งออก เช่น สหรัฐอเมริกา ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ Association of American Feed Control Officials (AAFCO) ซึ่งระบุชัดเจนว่าอาหารสัตว์ต้องมีสารอาหารครบถ้วนตามสายพันธุ์และช่วงอายุ
ขณะที่สหภาพยุโรปต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของสมาพันธ์อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งยุโรป หรือ The European Pet Food Industry Federation (FEDIAF) และตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของฉลากอาหารสัตว์อย่างเข้มงวด รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิต สร้างความร่วมมือทั้ง Ecosystems ตั้งแต่ผู้ประกอบการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิต Vegan Pet Food โดยตัวอย่างการสร้างความร่วมมือในการสนับสนุน Ecosystem ในการผลิต Vegan Pet Food ในต่างประเทศ เช่น โครงการ Protein Industries Canada เป็นความร่วมมือภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลแคนาดา ในการพัฒนาอาหารสัตว์จากพืช ผ่านความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีอาหารและพันธมิตร เช่น บริษัท Liven Proteins และ ALT-PRO Advantage จากแคนาดา กับบริษัท New Wave Biotech และ Formidable Foods ในสหราชอาณาจักร และได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยและเกษตรกร ในการพัฒนาโปรตีนจากพืชคุณภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์จากพืช
อย่างไรก็ดี ผู้ผลิต Vegan Pet Food อาจเผชิญกับความท้าทายจากความกังวลของผู้บริโภคบางส่วนที่มองว่าอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์จะไม่สามารถให้สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น วิตามิน B12 และกรดอะมิโนจำเป็น ซึ่งหากขาดอาจส่งผลต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ขณะที่ความน่ารับประทาน (Palatability) ยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของการพัฒนาอาหารสัตว์จากพืช เพราะอาหารสัตว์จากพืชจะมีกลิ่นที่อ่อนและมีรสขม รวมถึงเนื้อสัมผัสที่แห้ง แตกง่าย หรืออ่อนนุ่มเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ Horizons เกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกบริโภคในผลิตภัณฑ์ Vegan Pet Food (2565) ชี้ว่า ผู้บริโภคกว่า 54% จะให้ความสำคัญกับข้อมูลด้านโภชนาการอาหารมากที่สุด และอีก 37% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์หรือความน่ารับประทานของผลิตภัณฑ์
ดังนั้นการพัฒนาสูตรอาหารที่สมดุลทางโภชนาการ โดยเฉพาะการทดแทนสารอาหารที่พบในเนื้อสัตว์ รวมถึงรสชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักโภชนาการสัตว์และนักเทคโนโลยีอาหาร