ดัชนี MPI เม.ย.ขยายตัว 2.17 % รับแรงหนุนยานยนต์ฟื้นตัวครั้งแรกรอบ 21 เดือน ขณะที่ผู้ส่งออกอาศัยช่วงภาษีสหรัฐยังไม่ชัดเร่งออเดอร์ส่งลูกค้า
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 92.30 ขยายตัวร้อยละ 2.17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 56.51 สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนหลักต่อภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 21 เดือน โดยขยายตัวร้อยละ 1.34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการผลิตเพื่อส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าที่ได้มีการจองไว้จากงานมอเตอร์โชว์ 2025
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคุณสู้เราช่วยที่ขยายเวลาลงทะเบียน โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าของ สหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมในหลายประเทศเร่งการผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทำให้ประเทศคู่ค้าหลายแห่งได้เพิ่มการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว ร้อยละ 16.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัวร้อยละ 11.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศอาจจะชะลอตัวลง ดังนั้น สศอ. จึงปรับประมาณการดัชนี MPI ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0 - 1 และGDP ภาคอุตสาหกรรม ปี 2568 คาดขยายตัวร้อยละ 0.5 – 1.5 จากประมาณการเดิมที่คาดว่าดัชนี MPI และ GDP ภาคอุตสาหกรรม จะขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 – 2.5
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนพฤษภาคม 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง” โดยปัจจัยภายในประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง ตามการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงและความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากความกังวลต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ด้านปัจจัยต่างประเทศ ภาพรวมทรงตัวในระดับใกล้เคียงเดิม โดยภาคการผลิตของสหภาพยุโรปปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนภาคการผลิตของญี่ปุ่นยังคงหดตัวต่อเนื่อง สำหรับในสหรัฐอเมริกายังคงมีความกังวลต่อเรื่องความไม่แน่นอนของนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้า
“สศอ. ปรับประมาณการดัชนี MPI ปี 2568 ขยายตัวอยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 0 – 1 จากประมาณการเดิมขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ปี 2568 คาดขยายตัวร้อยละ 0.5 – 1.5 จากประมาณการครั้งก่อนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหน่วยงานทางเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยมีสาเหตุหลักจาก การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ” นายภาสกร กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนเมษายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อาหารสัตว์สำเร็จรูป ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.30 จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป เป็นหลัก ตามการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมวทั้งในและต่างประเทศ โดยเดือนนี้ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากลูกค้าญี่ปุ่นผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.86 จากผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตและท่อซีเมนต์ เป็นหลัก ตามการขยายตัวของโครงการก่อสร้างของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับคมนาคมและสาธารณูปโภค การก่อสร้างที่อยู่อาศัยและโรงงานทั่วประเทศ
ด้านน้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.49 จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบ เป็นหลักตามปริมาณผลปาล์มที่ออกสู่ตลาดมากขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย และส่งผลให้ราคาปาล์มปรับตัวลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนเมษายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.84 จากผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันก๊าด และแก๊สโซฮอล์ 91 เป็นหลัก เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศและคำสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศลดลง รวมถึงการชะลอตัวลงของจำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนกาแฟ ชา และสมุนไพรผงสำหรับชง หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 84.35 จากผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์น้ำแร่และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่น ๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.68 จากผลิตภัณฑ์น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสผลไม้ และเครื่องดื่มกาแฟกระป๋อง เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางราย ลดการผลิตลงหลังลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ