คลังคิดบวกภาพรวมเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ หนี้สาธารณะอยู่ในกรอบ ขณะที่ทุนสำรองยังแน่นรับมือได้ เกาะติดเทรดวอร์ การเจรจาภาษีสหรัฐมีผลต่อไทย
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2568 ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติชะลอตัวลง ส่วนจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยยังขยายตัวได้ โดยจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนเมษายน 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.1 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 10.5 สอดคล้องกับปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนเมษายน 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.6 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 14.6
ด้านรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนเมษายน 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -5.0 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนเมษายน 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 55.4 จากระดับ 56.7 ในเดือนก่อน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง รวมถึงปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน (เบื้องต้น) ในเดือนเมษายน 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 22.8 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 8.7 ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนเมษายน 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ –7.5 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 11.5
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือนเมษายน 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -10.1 มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ที่ร้อยละ 10.2 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัว ที่ร้อยละ 7.1 ตามการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) และแผงวงจรไฟฟ้า โดยขยายตัวร้อยละ 75.1 42.1 และ 39.0 ตามลำดับ
นอกจากนี้ น้ำตาลทราย ยางพารา ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 36.0 22.5 21.9 และ 10.1 ตามลำดับ ด้านการส่งออกข้าว ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ อาเซียน -9 และอินเดีย ขยายตัวร้อยละ 23.8 15.0 และ 10.2 ตามลำดับ ขณะที่ตลาดตะวันออกกลาง และทวีปออสเตรเลียลดลงร้อยละ -15.7 และ -4.0 ตามลำดับ
ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนเมษายน 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.55 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -7.6 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 3.9
ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาว ในเดือนเมษายน 2568 จำนวน 25.0 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1.7 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 5.8
ส่วนภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนเมษายน 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 6.2 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.3 ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าว และยางพารา เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลผลิตมันสำปะหลัง และข้าวโพด ลดลงจากเดือนก่อน
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนเมษายน 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 89.9 จากระดับ 91.8 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 และความกังวลจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ -0.22 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.98 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 64.4 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง
ด้านเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 256.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สะท้อนจาก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก (Global Composite PMI) ในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 50.8 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 52.0 จุด แต่ดัชนียังอยู่สูงกว่าระดับ 50.0 จุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางขยายตัวชะลอลง
ทั้งนี้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ในเดือนเมษายน 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 49.8 จุด จากระดับ 50.3 จุด ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีมีการปรับตัวลดลงในหลายดัชนีย่อย เช่น ยอดคำสั่งซื้อใหม่ การจ้างงาน ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคบริการ (Global Service PMI) ในเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 50.8 จุด ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน แต่ยังคงสูงกว่าระดับ 50 จุด
ด้านสถานการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อและทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับภาพรวมภาวะตลาดการเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2568 ตลาดทุนมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน โดยนักลงทุนในประเทศกลับมาซื้อสุทธิเฉพาะกลุ่มบุคคลทั่วไป (Local Individual) ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ สะท้อนความระมัดระวังต่อปัจจัยภายนอกและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ด้านตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงมีความเชื่อมั่นในความมั่นคงของพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยมีการซื้อสุทธิชี้ให้เห็นถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินที่ยังคงเข้มงวด ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดเกิดใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขยายระยะเวลามาตรการ Reciprocal Tariff ออกไป