ส่งออกไทยเริ่มมีสัญญาณเติบโตช้าลง คาดการกลับมาขึ้น Reciprocal Tariff จะกดดันมากขึ้น เสี่ยงถูกเก็บภาษีสูงกว่า Universal Tariff 10% แข่งขันลำบาก
Krungthai Compass ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินสถานการณ์การส่งออก ว่า ส่งออกเดือนเมษายน 2568 ขยายตัว 10.2%YoY มีมูลค่า 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชะลอลงเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าทั้งกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง สวนทางกับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร สำหรับการส่งออกทองคำในเดือนนี้ขยายตัวสูงที่ 250.5%YoY ทำให้เมื่อหักทองคำแล้วมูลค่าส่งออกเดือนนี้เติบโตที่ 7.2%YoY ทั้งนี้การส่งออกสี่เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 14.0%YoY โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจาก
1.การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเติบโต 16.6%YoY ชะลอตัวจาก 23.5%YoY ในเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่เติบโต ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+75.1%) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) (+42.1%) แผงวงจรไฟฟ้า (+39.0%) ผลิตภัณฑ์ยาง (+15.9%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (-33.1%) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-7.6%) ที่กลับมาหดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อนหน้า เป็นต้น
2.การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัว -8.4%YoY ติดลบต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ -3.1%YoY โดยสินค้าเกษตรหดตัว -19.6%YoY หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ -0.5%YoY และต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรกลับมาขยายตัว 9.1%YoY สวนทางกับเดือนก่อนที่หดตัว -5.7%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัวสูงในเดือนนี้ ได้แก่ ข้าว (-44.1%) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-38.5%) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-5.8%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูง ได้แก่ น้ำตาลทราย (+36.0%) ยางพารา (+22.5%) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (+24.6%) ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป (+21.9%) และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ (+17.1%) เป็นต้น
ด้านการส่งออกรายตลาดสำคัญ ส่วนใหญ่ยังขยายตัวจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสำคัญ โดยตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 23.8%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง
สำหรับตลาดจีน ขยายตัว 3.2%YoY เติบโตต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 7 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ด้านสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
ส่วนตลาดญี่ปุ่น: ขยายตัว 5.5%YoY เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ยางพารา และ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
ขณะที่ตลาดEU27 ขยายตัว 6.1%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
และตลาดASEAN-5 ขยายตัว 7.8%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณี และเครื่องประดับ น้ำตาลทราย เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
ทั้งนี้เมื่อมองถึงมูลค่าการนำเข้าเดือน เม.ย. อยู่ที่ 28,946.4 ล้านดอลลาร์ฯ เติบโต 16.1%YoY เร่งขึ้นจาก 10.2%YoY เมื่อเดือนก่อน การนำเข้าสินค้าหลายหมวดขยายตัว ทั้งสินค้าทุน (+27.5%YoY) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (+17.4%YoY) สินค้าอุปโภคบริโภค (+11.9%YoY) และสินค้าเชื้อเพลิง (+1.7%YoY) ขณะที่การนำเข้าสินค้ายานพาหนะฯ หดตัว (-0.6%YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าเดือน เม.ย. ขาดดุล -3,321.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดีแม้การส่งออกเดือน เม.ย. 68 จะขยายตัว หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง สะท้อนปัจจัยบวกจากการเร่งนำเข้าเริ่มแผ่วลง โดยมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัว 10.2%YoY ในเดือนนี้ ถือเป็นการเติบโตที่ช้าลงเป็นครั้งแรกใน 5 เดือน และหากเทียบมูลค่ารายเดือนแล้วจะหดตัว 13.3% MoM ติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 68 บ่งชี้ถึงการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าก่อนหมดระยะพักการขึ้น Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ อ่อนแรงลง
นอกจากนี้ตัวเลขล่าสุดเริ่มสะท้อนว่าการเร่งส่งออกของชาติเอเชียเริ่มมีสัญญาณลบ โดยตัวเลขส่งออกของเกาหลีใต้ 20 วันแรก ในเดือน พ.ค. 68 หดตัว -2.4%YoY ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียหดตัวชัดเจน สะท้อนจาก Manu-facturing PMI เดือน เม.ย.68 ที่อ่อนแรง โดยส่วนใหญ่หดตัวลง
ทั้งนี้ให้จับตาผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งมีผลสำคัญต่อการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ล่าสุดในเดือน พ.ค. จีนและสหรัฐฯ ได้เจรจาทางการค้า และบรรลุเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ลดภาษีศุลกากรตอบโต้กับจีนลงเหลือ 30% จาก 145% เป็นเวลา 90 วัน (สิ้นสุดเดือน ส.ค. 68)
ขณะที่ไทยเฝ้ารอเข้าเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งหากไทยเจรจาประสบผลสำเร็จและอัตราภาษีใหม่ต่ำกว่า 36% จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจีนจะแทนที่การส่งออกไทย เนื่องจากอัตราภาษีที่จีนถูกเก็บในตอนนี้ ต่ำกว่าที่ไทยจะถูกเก็บในเดือน ก.ค.68
Krungthai COMPASS คาดการส่งออกไทยช่วง ครึ่งหลังของปี68 ที่ระยะพักการขึ้น Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ หมดลง ผลกระทบต่อไทยจะชัดขึ้น ทั้งผลทางตรงจากอัตราภาษี ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่จะสูงกว่า Universal Tariff 10% ผลจากส่วนต่างภาษี หากไทยถูกเก็บในอัตราสูงกว่าประเทศส่งออกอื่น และผลทางอ้อมจากการค้าโลกที่แย่ลง เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอ่อนแรง รวมถึงการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน