‘พาณิชย์’ส่องผลกระทบต่อสินค้าเกษตรไทย จากความตึงเครียดการค้าสหรัฐฯ-จีน เร่งมาตรการรับมือปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. มีการติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในยุคทรัมป์ 2.0 จากการที่สหรัฐฯ มีนโยบายเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นจากสินค้านำเข้า รวมถึงยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีขั้นต่ำ (De Minimis) ต่อสินค้าจีน และจีนตอบโต้กลับโดยปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงเช่นเดียวกันนั้น จะส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้าเกษตรไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทั้งนี้ข้อมูล Trademap.org ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าเกษตร (HS 01-24) ไปยังสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 4,759.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่ไทยส่งออกเป็นมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.อาหารสุนัขหรือแมว 2. ข้าว 3. ปลาทูน่าปรุงแต่ง 4. น้ำผลไม้หรือน้ำผักอื่น ๆ 5. อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ
6. ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอส 7. กุ้งปรุงแต่ง (เช่น ลูกชิ้นกุ้ง) 8. กุ้งแช่แข็ง 9. ผลไม้ ลูกนัตปรุงแต่ง และ 10. สับปะรดปรุงแต่ง
ทางสนค.ได้วิเคราะห์ผลกระทบต่อการค้าสินค้าเกษตรไทย แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1. สินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ อยู่อันดับต้น ๆ จึงอาจได้รับส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากการนำเข้าเพื่อทดแทนสินค้าจีน เช่น อาหารสุนัขและแมว (HS 2309.10) สหรัฐฯ นำเข้าเป็นมูลค่า 2,215.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 845.2 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่ง 38% ของมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ และนำเข้าจากจีนเป็นอันดับ 3 มูลค่า 187.6 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่ง 8%
ขณะที่ ข้าว (HS 1006.30) สหรัฐฯ นำเข้าเป็นมูลค่า 1,514.8 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 843.0 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่ง 56% ของมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ และนำเข้าจากจีนเป็นอันดับ 3 มูลค่า 56.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่ง 4%
ส่วนปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง (HS 1604.15) สหรัฐฯ นำเข้าเป็นมูลค่า 52.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 16.3 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่ง 31% ของมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ และนำเข้าจากจีนเป็นอันดับ 3 มูลค่า 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐ มีส่วนแบ่ง 11%
2.สินค้าที่ไทยมีโอกาส เป็นกลุ่มสินค้าที่จีนครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ อันดับต้น ๆ ขณะที่ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก ซึ่งหากได้รับการผลักดันและเสริมสร้างศักยภาพทางการผลิตและการตลาดเพิ่มขึ้น อาจทำให้ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เช่น สินค้ากลุ่มพาสต้าอื่น ๆ อาทิ เส้นหมี่ วุ้นเส้น ปลาหมึกแช่แข็ง ซอสถั่วเหลือง ปลาอื่น ๆ ปรุงแต่ง (เช่น ปลาฮอร์สแมคเคอเรล) พืชผักตระกูลถั่วอื่น ๆ แช่แข็ง
อย่างไรก็ตามการรักษาส่วนแบ่งตลาดของสินค้าเกษตรไทยในสหรัฐฯ ยังมีความท้าทาย เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ในอัตราสูงถึง 36% แม้การเก็บภาษีดังกล่าวจะถูกระงับไว้เป็นเวลา 90 วัน (นับตั้งแต่ 9 เมษายน 2568)
นอกจากนี้ ไทยต้องเฝ้าระวังการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดอื่นด้วย ในกรณีเมื่อจีนถูกตั้งกำแพงภาษีและไม่สามารถส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ได้เช่นเดิม จึงอาจระบายสินค้าไปตลาดอื่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดนั้น ๆ สูงขึ้น
3. สินค้าที่ต้องเฝ้าระวังการเบี่ยงเบนทางการค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่จีนมีศักยภาพและไทยก็ปลูกได้เอง แต่อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศและบางครั้งจำเป็นต้องนำเข้า ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ ผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการบางกลุ่มอาจได้รับประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้สำหรับแปรรูปในราคาถูกลง (ตารางที่ 4) เช่น
• กระเทียมสดหรือแช่เย็น (HS 0703.20) จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ส่งออกเป็นปริมาณ 2.35 ล้านตัน และสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 7 ของจีน (จีนส่งออกไปสหรัฐฯ 62,739 ตัน) สำหรับไทย ในปีเพาะปลูก 2566/67 มีผลผลิตกระเทียมอยู่ที่ 53,714 ตัน ขณะที่มีปริมาณการใช้ในประเทศ 106,926 ตัน ไทยจึงเป็นผู้นำเข้าสุทธิ โดยในปี 2567 ไทยนำเข้ากระเทียม 23.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณ 47,352 ตัน
(และไทยส่งออก 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณ 856 ตัน) โดยนำเข้าจากจีนเกือบทั้งหมด สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน จึงอาจส่งผลให้กระเทียมจากจีนเข้ามาไทยมากขึ้น
• พืชผักอื่น ๆ ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย (HS 2005.99) จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ส่งออกเป็นปริมาณ 840,754 ตัน และสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 ของจีน (จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ 84,147 ตัน) สำหรับไทย สินค้ากลุ่มนี้ไทยเป็นผู้ส่งออกสุทธิ ในปี 2567 ไทยส่งออกและนำเข้าเป็นมูลค่า 76.4 และ 8.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ขณะที่จีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 สินค้ากลุ่มนี้จึงมีโอกาสนำเข้ามากขึ้นเพื่อแปรรูปและส่งออก
• พริกแห้ง หรือพริกไทยเทศแห้งทั้งเม็ด (HS 0904.21) จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย (ขณะเดียวกันจีนเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของโลก) จีนส่งออกเป็นปริมาณ 85,103 ตัน ซึ่งไทยและสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 และ 4 ของจีน มีปริมาณ 15,366 และ 6,164 ตัน ตามลำดับ สินค้ากลุ่มนี้ไทยเป็นผู้นำเข้าสุทธิ ในปี 2567 ไทยส่งออกและนำเข้าเป็นมูลค่า 4.0 และ 201.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ส่งออกและนำเข้าเป็นปริมาณ 893 และ 86,006 ตัน) ตามลำดับ ซึ่งปัจจุบัน ไทยนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากอินเดียมากที่สุด แต่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อาจส่งผลให้ไทยมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มมากขึ้น
• ชาเขียวอื่น ๆ ไม่หมัก (HS 0902.20) จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ส่งออกเป็นปริมาณ 202,641 ตัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 6 ของจีน (จีนส่งออกไปสหรัฐฯ 4,583 ตัน) และจีนเป็นแหล่งนำเข้าชาเขียวที่สำคัญของสหรัฐฯ เป็นอันดับ 2 (รองจากญี่ปุ่น) สำหรับไทย สินค้ากลุ่มนี้ไทยเป็นผู้นำเข้าสุทธิ ในปี 2567 ไทยส่งออกและนำเข้าเป็นมูลค่า 2.6 และ 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ส่งออกและนำเข้าเป็นปริมาณ 456 และ 6,301 ตัน) ตามลำดับ ซึ่งปัจจุบัน ในเชิงมูลค่าไทยนำเข้าชาเขียวจากญี่ปุ่นมากที่สุด แต่ในเชิงปริมาณไทยนำเข้าจากจีนมากที่สุด ซึ่งสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อาจส่งผลให้สินค้ากลุ่มนี้จากจีนเข้ามาไทยมากขึ้น
• หอมหัวใหญ่แห้งหรือผง (HS 0712.20) จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับ 4 ของโลก (รองจากอินเดีย สหรัฐฯ และอียิปต์) จีนส่งออกเป็นปริมาณ 15,064 ตัน ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของจีน (จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ 2,363 ตัน) สำหรับไทย สินค้ากลุ่มนี้ไทยเป็นผู้นำเข้าสุทธิ ในปี 2567 ไทยส่งออกและนำเข้าเป็นมูลค่า 0.9 และ 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ส่งออกและนำเข้าเป็นปริมาณ 810 และ 1,652 ตัน) ตามลำดับ
ซึ่งปัจจุบัน ไทยนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯ มากที่สุด (942 ตัน) รองลงมา คือ จีน (485 ตัน) ซึ่งสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อาจส่งผลให้สินค้ากลุ่มนี้จากจีนเข้ามาไทยมากขึ้น
นายพูนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า อัตราภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงมีความไม่แน่นอน รวมถึงอัตราภาษีระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ด้วย ซึ่ง สนค. ยังคงติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าและมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ 2.0 อย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าไทย นอกจากนี้ หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ มีการวางแผนดำเนินการ
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อาทิ ป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้า กำกับดูแลการนำเข้าสินค้าเกษตร
อย่างใกล้ชิดให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับด้านคุณภาพและมาตรฐาน เฝ้าระวังผลกระทบต่อสินค้าเกษตรภายในประเทศเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตภายในประเทศ บังคับใช้กฎระเบียบด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้า เร่งแก้ไขประเด็นที่คาดว่าสหรัฐฯ อาจนำมาใช้อ้างเป็นเหตุผลในการกีดกันทางการค้า เช่น การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีและกระจายตลาดส่งออก ตลอดจนรักษาสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ พร้อมทั้งพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันในทางการค้า เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต