‘พิชัย’ตั้งเพิ่ม 2 คณะทำงานเดินหน้าปราบปรามธุรกิจต่างชาติแอบแฝงและสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐานคุณภาพมาตรฐานอย่างจริงจัง ชี้เอาผิดมาแล้ว 24,626 คดี มูลค่าเสียหาย 15,121 ล้านบาท
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมา 2 ชุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและปัญหาธุรกิจนอมินีที่ทำให้ผู้ประกอบการ SME ของไทยเสียเปรียบ ประกอบไปด้วย1.คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ และ 2. คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) โดยมีรมช.พาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เป็นประธานอนุกรรมการฯ
สำหรับคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ลงนามแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมามีผลงานเป็นรูปธรรมต่อเนื่อง โดยกรมศุลกากรสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากสินค้านำเข้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ได้สูงถึง 1,500 ล้านบาท และดำเนินคดีสินค้าผิดกฎหมายไปแล้ว 24,626 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,257.24 ล้านบาท สามารถลดการนำเข้าสินค้าผ่าน e-Commerce ลง 8% หรือเฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท และสามารถกวาดล้างธุรกิจนอมินีไปแล้ว 851 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 15,121 ล้านบาท
ขณะที่คณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นครั้งนี้ มีร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน พร้อมด้วยผู้แทนจาก 16 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมศุลกากร กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะทำงานนี้จะมีหน้าที่กำกับดูแล เร่งรัด และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตาม กฎหมาย พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสืบสวน สอบสวน และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
อย่างไรก็ดีการดำเนินงานจะมีการบูรณาการการบังคับใช้กฎหมายในทุกมิติ ตั้งแต่การตรวจสอบ สืบสวน ดำเนินคดี ยึดอายัดทรัพย์สิน ไปจนถึงมาตรการทางภาษี เพื่อให้สามารถทำลายวงจรธุรกิจผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 5 ธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ 1) ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการให้เช่าที่ดิน
3) ธุรกิจขนส่งทางบก 4) ธุรกิจโกดังสินค้าและโลจิสติกส์ และ 5) ธุรกิจซื้อที่ดินเพื่อการเกษตร ซึ่งมีรายงานว่ากำลังมีการขยายตัวของธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นนอมินีในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เช่น ระยองและจันทบุรี ที่มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนเพื่อปลูกทุเรียนเพื่อนำส่งออกต่างประเทศ
นายพิชัย กล่าวว่า การปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายและสินค้าด้อยคุณภาพถือเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล โดยการนำของท่านนายกรัฐมนตรี เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยเข้มแข็งขึ้น แต่ยังช่วยให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการ SME ของไทย พร้อมยืนยันว่าการดำเนินงานครั้งนี้จะเป็นมาตรการที่ต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้น โดยหวังว่าจะสามารถจัดการปัญหาดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในระยะยาว