SCB EIC ประเมินมูลค่าส่งออกไทยจะขยายตัวต่อเนื่องในเดือน มิ.ย. และช่วงครึ่งปีหลัง
SCB EIC ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกในเดือน มิ.ย. มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองของกระทรวงพาณิชย์ในการแถลงการณ์ตัวเลขล่าสุดนี้ เดือน พ.ค. โดยมองว่า มูลค่าการส่งออกไทยปีนี้จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ 2.6% (ตัวเลขระบบดุลการชำระเงิน) จากแรงสนับสนุนหลายด้าน ได้แก่
(1) เศรษฐกิจโลกในปี 2024 ที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.7% โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับดีขึ้นมากจากอุปสงค์ในประเทศเติบโตดี จีนปรับดีขึ้นเช่นกันจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อินเดียและอาเซียนขยายตัวดี แม้ยูโรโซนและญี่ปุ่นยังเติบโตต่ำ
(2) ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปีนี้ จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกอยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องสามเดือนหลังจากหดตัวมานาน นอกจากนี้ ดัชนี PMI ยอดคำสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตจากต่างประเทศ (Export order) ปรับเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องสองเดือนหลังจากหดตัวมานานกว่า 2 ปี รวมถึงดัชนี PMI ปริมาณผลผลิตภาคการผลิตในอนาคต (Future output) ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อน สะท้อนการขยายตัวของภาคการผลิตโลกในระยะข้างหน้า
(3) ราคาสินค้าส่งออกที่ดี เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ รวมถึงราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงตามความเสี่ยงการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันรัสเซียจากยูเครน ความไม่แน่นอนของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
(4) แนวโน้มการส่งออกสินค้าหลายชนิดที่หดตัวในไตรมาสแรกจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี เช่น ปิโตรเคมี เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ รวมถึงสินค้าหลายชนิดที่ขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกและมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะยางธรรมชาติ ทูน่า เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
SCB EIC ประเมินแนวโน้มมูลค่าการส่งออกไทยปี 2025 ขยายตัวใกล้เคียงปีนี้
มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2025 จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีนี้
โดยเศรษฐกิจอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตเร่งขึ้น อินเดียยังเติบโตสูงแม้จะชะลอเล็กน้อย ญี่ปุ่นและยูโรโซนฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังไม่สดใสนัก ขณะที่จีนมีแนวโน้มเติบโตต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง (รูปที่ 4 ซ้าย) นอกจากนี้ ปริมาณการค้าโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นในปี 2025 ตามการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank)
อย่างไรก็ดี ปริมาณการค้าโลกในปี 2025 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะ (1) ผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะทำให้สหรัฐฯ เป็น Protectionism ใช้เครื่องมือกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตในประเทศ อีกทั้ง หาก Trump ชนะการเลือกตั้งจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมให้สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศ 10% ตามที่หาเสียงไว้ (2) ผลการเลือกตั้งในสหภาพยุโรป สะท้อนว่าความนิยมพรรคฝ่ายขวาจัดเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่กลุ่มพรรคซ้าย-กลางสูญเสียที่นั่ง จะมีนัยต่อนโยบายสหภาพยุโรป ในระยะข้างหน้าที่เป็นชาตินิยมมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายการค้าที่อาจพิจารณาประเด็นภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีนและสหรัฐฯ และอาจเปลี่ยนมาสนับสนุนและปกป้องตลาดและอุตสาหกรรมสำคัญในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น (3) สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ยังไม่สิ้นสุด และ (4) ปัญหา China overcapacity ที่ทำให้จีนส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศที่ยังซบเซาทำให้สินค้านำเข้าเจาะตลาดจีนได้น้อยกว่า ส่งผลให้ดุลการค้าจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจทำให้หลายชาติใช้มาตรการกีดกันการค้ากับจีนมากขึ้น
ที่สำคัญคือ ภาคการส่งออกของไทยมีแนวโน้มจะไม่ได้รับอานิสงส์จากการค้าโลกที่ขยายตัวเร่งขึ้นเท่าที่ควร โดย SCB EIC มีข้อสังเกตว่า การส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมาฟื้นตัวสอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกน้อยลง (รูปที่ 6 ขวา) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาคการผลิตสินค้าของไทยยังพึ่งพาอุตสาหกรรมเก่าและปรับตัวผลิตสินค้าตามความต้องการใหม่ ๆ ของโลกได้ไม่เต็มที่นัก SCB EIC จึงประเมินมูลค่าการส่งออกในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวไม่สูงมากที่ 2.6% ใกล้เคียงปีนี้