สิงห์ เอสเตท ปี67 พร้อมบุกอสังหาฯคลุมทุกเซ็กเมนต์ ร่วมทุนพันธมิตรทำคอนโดเจาะกลุ่มรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป เตรียมเปิดขายปี 67 รับรายได้ 9เดือนแรกของปี 66 กวาดรายได้กว่าหมื่นล้านบาท โต 19%
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาคารสำนักงาน โครงการที่พักอาศัย โรงแรม เปิดเผยว่าการดำเนินธุรกิจปี 2567 ในธุรกิจที่พักอาศัย บริษัทมีแบ็คล็อก (backlog) ราว 4,000 ล้านบาท รวมถึงสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยวพร้อมขาย ที่เปิดตัวในช่วงสิ้นปี 2566 เตรียมพร้อมส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าโครงการ ดิ เอ็กโทร พญาไทรางน้ำ ในช่วงต้นปี 2567
นอกจากนี้ ยังมีคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ที่บริษัท ได้เข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดในเซ็กเมนต์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดใหญ่และเติบโตดีที่สุด ในระดับราคา 100,000 – 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งอยู่นอกเหนือจากแบรนด์เสาหลักที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท เอง
“โครงการร่วมทุนนี้ จะตอบโจทย์ให้สิงห์ เอสเตท เข้าช่วงชิงโอกาสจากการฟื้นตัวของตลาดคตอนโดในกลุ่มรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป โดยบริษัทฯ วางแผนจะเปิดขายในปี 2567 เป็นต้นไป” ฐิติมา กล่าว
สำหรับธุรกิจโรงแรม บริษัทได้เตรียมแผนธุรกิจรองรับแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และสัญญาณการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างภูมิภาคซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มเส้นทางบิน ต่อเนื่องจากในปี 2566 ซึ่งเป็นปีแรกที่การท่องเที่ยวทั่วโลกเปิดเต็มรูปแบบ ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจโรงแรมสิงห์ เอสเตท ขยายตัวดีขึ้นชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปี2566 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 เช่นกัน
“สิงห์ เอสเตท เห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของลูกค้าตลาดใหม่ ๆ ในทุกภูมิภาคที่เราดำเนินงาน พร้อมช่วงชิงโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าศักยภาพ โดยตรียมความพร้อมนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์กระแสนิยมในการท่องเที่ยว พร้อมด้วยมาตรฐานในการบริการ” ฐิติมา กล่าว
ทั้งนี้ จากการปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ (Major Renovation) ของโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ศักยภาพของ SHR ได้แก่ โรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรม ทราย พีพี ไอซ์แลนด์ วินเลจ และโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักร ยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
โดยห้องพักรูปแบบใหม่จะพร้อมส่งมอบห้องคืนและเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (high season) ของแต่ละประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจะสามารถยกระดับอัตราการเข้าพักรายวัน (ADR) ได้เฉลี่ยในช่วง 15% - 25%
ฐิติมา กล่าวต่อ สำหรับผลดำเนินการ สิงห์ เอสเตท ในช่วง 9 เดือนแรก มีอัตราการเติบโตตามแผนการลงทุน ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 2,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยเป็นผลจากการปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม และสะท้อนผลสำเร็จจากการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ที่สิงห์ เอสเตทได้ทำมาตลอด
สำหรับในไตรมาสที่ 4 สิงห์ เอสเตท คาดสามารถขับเคลื่อนผลประกอบการที่สูงที่สุดในปีได้ จากการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,800 ล้านบาทและเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจอย่างดีและมียอดจองเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 10% รวมถึงพอร์ตโรงแรมของ SHR ซึ่งเป็นผลจากการที่ห้องพักรูปแบบใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมเปิดให้บริการลูกค้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของปี พร้อมทั้งปริมาณความต้องการเดินทางของลูกค้าตลาดระยะไกล (Long-haul market) ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งตามการเปิดเส้นทางบิน
โดยในปีนี้ สิงห์ เอสเตท ได้ลงทุนขยายโครงการบ้านแนวราบครบทุกเซ็กเมนต์ลักชูรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” แม้ว่าเซ็กเมนต์ที่ขยายเข้ามาใหม่นี้ ถือว่าสิงห์ เอสเตทได้เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า จากความเชื่อมั่นต่อความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรี และความเชื่อถือแบรนด์ของสิงห์ เอสเตท ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า
ฐิติมากล่าวเสริมว่า “นับเป็นก้าวที่สำคัญของสิงห์ เอสเตท ในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดลูกค้าใหม่ โดมีแบรนด์ต่างระดับที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ตรงจุดและหลากหลาย จะเน้นเจาะตลาดกลุ่ม SUPER LUXURY ในกลุ่มราคา 50-100 ล้านบาทด้วยแบรนด์ SIRANINN เสริมทัพด้วยการเข้าสู่ตลาดระดับ PREMIUM LUXURY ในกลุ่มราคา 30-50 ล้านบาทด้วยแบรนด์ S’RIN พร้อมช่วงชิงโอกาสในขอบบนของกลุ่มตลาด LUXURY ในกลุ่มราคา 10-30 ล้านบาทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ที่สุดของบ้านแนวราบ ด้วยแบรนด์ SHAWN ที่เปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้
ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับ 9 เดือนแรก จำนวน 10,072 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตเด่นถึง 34% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 3 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ซึ่งรวมถึงโครงการใหญ่ S’RIN ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้
ในขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% และแรงส่งสำคัญในไตรมาส 4 ที่ห้องพักโรงแรมสำคัญในไทยและฟิจิซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงเตรียมเปิดต้อนรับผู้เข้าพักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวันโตกระโดด
นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 โปรดักส์ที่พัฒนาและออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความยืดหยุ่นอย่าง SMYTH ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวในปีนี้ คือ การขยายพอร์ต ULTRA LUXURY ที่ระดับราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท ในรูปแบบบ้านแบบ Cluster home ซึ่งจะเป็นบ้านที่ดีไซน์มาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกบ้านแต่ละหลัง
โดยบริษัทฯ เชื่อว่าการพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการเข้าถึงที่ดินขนาดใหญ่บนทำเลศักยภาพ ด้วยมองเห็นโอกาสในการเติบโตและการขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรูปแบบของบ้านสั่งสร้าง และยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและแนวการพัฒนาด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท”
จากแนวทางดังกล่าว บริษัท มั่นใจจะสามารถทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อมุ่งเป้าสู่การเติบโตระยะยาว ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และคงระดับสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการของบริษัท