อัตราการว่างงานของฟินแลนด์พุ่งสูงขึ้นจนเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในสหภาพยุโรป และยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเรื่องนี้กำลังเป็นความท้าทายต่อรูปแบบสวัสดิการของประเทศ
อิเนซ ออเลน วัย 29 ปี ซึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาสื่อสารมวลชนและการสื่อสาร ได้สมัครงานไปแล้วมากกว่า 50 ตำแหน่ง แม้จะมีประสบการณ์หลายปีและพูดได้สามภาษาอย่างคล่องแคล่วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่มีงานทำ เธอเผยเรื่องนี้กับสำนักข่าว AFP
เธอว่างงานมา 5 สัปดาห์แล้ว แต่หน่วยงานจัดหางานแนะนำให้เธอเตรียมพร้อมสำหรับการหางานอย่างน้อย 6 เดือน และยังแนะนำให้เธอสมัครงานในต่างประเทศด้วย
“ฉันเรียนและทำงานมา 6 ปีแล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน” ออเลนกล่าว พร้อมอธิบายว่ามันเป็น “ความรู้สึกหนักหน่วงที่ถาโถมเข้ามาจนรับแทบไม่ไหว”
อัตราการว่างงานของฟินแลนด์ในกลุ่มประชากรอายุ 15 ถึง 74 ปี สูงถึง 10.3% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในประเทศนอร์ดิก (เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, และสวีเดน) นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นอย่างน้อย ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติฟินแลนด์ หรือ Statistics Finland
ตัวเลขจากสำนักงานสถิติยุโรป หรือ Eurostat แสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลของฟินแลนด์พุ่งสูงถึง 9.6 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกันยายน ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป รองจากสเปนที่ 10.5%
ค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 6%
เป็นเพราะเศรษฐกิจซบเซา
ตัวเลขเหล่านี้ “สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในฟินแลนด์ในปัจจุบัน การเติบโตทางเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนอย่างมาก” เฮนนา บุสก์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพลลเลอร์โว กล่าว
เศรษฐกิจของฟินแลนด์ต้องดิ้นรนเพื่อฟื้นตัวอย่างเต็มที่นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2008 และผลกระทบที่ตามมา
การส่งออกที่ชะงักงัน ความต้องการของผู้บริโภคที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางภาวะประชากรสูงอายุ ล้วนเป็นปัจจัยที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ยุกก้า แอปเพลควิสต์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากหอการค้าฟินแลนด์ อธิบายกับสำนักข่าว AFP ว่า การตกต่ำอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศ และความสัมพันธ์ทางการค้าที่หยุดชะงักกับรัสเซีย ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีพรมแดนติดกันยาว 1,340 กิโลเมตร (830 ไมล์) หลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับฟินแลนด์
รัฐบาลฝ่ายขวาของฟินแลนด์ได้ดำเนินการลดการใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 90% ของ GDP และรักษาสมดุลการคลังสาธารณะ ซึ่ง "นำไปสู่การลดจำนวนพนักงานในภาครัฐ" แอปเพลควิสต์กล่าว
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเปตเตรี ออร์โป ซึ่งได้รับเลือกตั้งในปี 2566 ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างงานใหม่ 100,000 ตำแหน่งในประเทศที่มีประชากร 5.6 ล้านคน แต่ยังไม่มีการสร้างงานจริง
“เป็นเรื่องยากมากที่จะมีอิทธิพลต่อสถานการณ์ตลาดแรงงานด้วยมาตรการภายในประเทศใดๆ ในฟินแลนด์ จำเป็นต้องอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการกระตุ้นการส่งออกและการบริโภคภาคครัวเรือน” บุสก์กล่าวอธิบาย
กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงานส่วนใหญ่ ได้แก่ ผู้ว่างงานระยะยาว ผู้ที่มีความมั่นคงในการทำงานที่ไม่แน่นอนหรือสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา ผู้อพยพ และคนหนุ่มสาว แต่จำนวนผู้ว่างงานที่มีการศึกษาสูงก็พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
“ผู้มีรายได้น้อยที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนกำลังดำรงชีวิตด้วยรายได้ที่จำกัดมากในขณะนี้เนื่องจากมาตรการรัดเข็มขัด ขณะที่ผู้ที่มีกำลังซื้อกำลังออมเงินเพราะความกลัว” มิคา เฮลันเดอร์ นักวิจัยตลาดแรงงานและนักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยอาโบ อาคาเดมี กล่าว
ใช้มาตรการรัดเข็มขัด
เฮตา โคปรา วัย 48 ปี ซึ่งว่างงานมาตั้งแต่ปี 2017 หลังจากประสบภาวะหมดไฟ กล่าวว่ามาตรการรัดเข็มขัด (การลดการใช้จ่ายโดยรัฐบาล) ของประเทศทำให้ผู้ว่างงาน คนยากจน หรือผู้ด้อยโอกาส “ต้องอยู่ในภาวะไร้จุดหมาย”
“ตอนนี้ฉันตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวว่าจะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไร” เธอกล่าว
เธอกังวลว่าประเทศนอร์ดิกแห่งนี้ได้สูญเสีย “จิตวิญญาณแห่งสงครามฤดูหนาว” อันเลื่องชื่อ ซึ่งหมายถึงความสามัคคีของชาติที่แสดงให้เห็นระหว่างปี 1939 ถึง 1940 หลังจากที่สหภาพโซเวียตบุกฟินแลนด์และผู้คนร่วมใจกันต่อสู้กับความท้าทายของชาติ
หลังจากการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม ฟินแลนด์ เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มนอร์ดิก ได้เริ่มขยายระบบสวัสดิการในช่วงทศวรรษ 1960 โดยยึดหลักแนวคิดที่ว่าประชาชนทุกคนควรได้รับหลักประกันรายได้ที่เพียงพอและบริการขั้นพื้นฐาน
“เราเคยมีประเพณีการดูแลทุกคน แต่ตอนนี้มันกลับพลิกผัน” ตามที่โคปรากล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้เตือนว่ากำลังพิจารณามาตรการทางวินัย เนื่องจากฟินแลนด์มีการขาดดุลงบประมาณเกินกว่า 3% ของ GDP อันเป็นเส้นตายที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้
ในรายงานอีกฉบับ คณะกรรมาธิการยุโรปได้เน้นย้ำว่าฟินแลนด์เป็นหนึ่งใน 9 ประเทศในสหภาพยุโรปที่จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความเสี่ยงจากความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น
เฮลันเดอร์กล่าวว่าฟินแลนด์จำเป็นต้องค้นหา "วิสัยทัศน์เชิงบวกสำหรับอนาคต"
"แต่แนวคิดดังกล่าวยังไม่ได้รับการปลูกฝังในขณะนี้" เขากล่าว โดยโต้แย้งว่ามาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลเป็นเพียง "การรื้อถอนรูปแบบสวัสดิการ" เท่านั้น
Agence France-Presse
Photo - คนเดินเท้าท่ามกลางหิมะตกในกรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2024 ขณะที่อากาศหนาวเย็นกำลังแผ่ปกคลุมประเทศ(ภาพโดย Alessandro RAMPAZZO / AFP)