'เสิ่นป๋อหยาง'ผู้นำกองกำลัง'นักรบหมีดำ'กลุ่มเอกราชไต้หวันผู้ถูกจีนหมายหัวฐานแบ่งแยกดินแดน

'เสิ่นป๋อหยาง'ผู้นำกองกำลัง'นักรบหมีดำ'กลุ่มเอกราชไต้หวันผู้ถูกจีนหมายหัวฐานแบ่งแยกดินแดน

สำนักข่าวกวนฉาเจ่อในจีนรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม สำนักงานความมั่นคงสาธารณะเทศบาลนครฉงชิ่งได้ออกรายงานตำรวจประกาศการสอบสวน เสิ่นป๋อหยาง ในข้อหาต้องสงสัยว่ามีกิจกรรมแบ่งแยกดินแดน "ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลอย่างกว้างขวาง"  

เสิ่นป๋อหยาง (沈伯洋) คือใคร?

เสิ่นป๋อหยาง (เกิด 7 มิถุนายน 2525 -) เป็นนักการเมืองและนักวิชาการด้านกฎหมายในไต้หวัน เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หรือ  DPP อันเป็นพรรคที่สนับสนุนเอกราชชอไต้หวัน และปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ กิจกรรมหลักของเขาคอืการก่อตั้งกองกำลังต่อต้านจีนในไต้หวัน

เขาเคยศึกษาอยู่ที่ภาควิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน และหลังจากได้รับการรับเข้าศึกษาต่อในบัณฑิตวิทยาลัยกฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เสิ่นป๋อหยาง ภายใต้นามแฝงว่า "Puma" ได้สอนกฎหมายอาญาแบบพาร์ทไทม์ที่โรงเรียนกวดวิชา และเขาได้ใช้ชื่อ Puma จนถึงทุกวันนี้ หลังจากหาเงินได้มากพอที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศผ่านโรงเรียนกวดวิชา เสิ่นป๋อหยางจึงหยุดเรียนที่ไต้หวันและเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อ และได้รับปริญญาโทด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จากนั้นเขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์  เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอก สาขาอาชญากรรมและสังคมวิทยาทางกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการออกแบบเมือง จิตวิทยาสังคม และอาชญวิทยา และได้รับปริญญาเอกสาขา "อาชญวิทยาและสังคมวิทยาทางกฎหมาย" หลังจากได้รับปริญญาเอก เสิ่นป๋อหยาง ได้รับตำแหน่งอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยรัฐนอร์ทแคโรไลนาและมหาวิทยาลัยเอกชนอีกแห่งหนึ่ง แต่เขาไม่รับตำแหน่งเหล่านี้และเลือกที่จะกลับไปไต้หวัน 

ในปี พ.ศ. 2560 หลังจากกลับไต้หวัน เสิ่นป๋อหยาง ได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่สถาบันอาชญาวิทยา วิทยาลัยสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไทเป สาขาวิชาของเขามุ่งเน้นไปที่กฎหมายอาญา สังคมวิทยากฎหมาย นโยบายอาชญากรรม และอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่ช่วงวลานี้เองที่เขามีท่าทีต่อต้านจีนอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เสิ่นป๋อหยาง ได้ศึกษาแนวทาของจีนในการพยายามรวมไต้หวันเป็นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสงครามข้อมูล และต่อมาการวิจัยของเขาได้ขยายไปสู่สงครามทางความคิด

ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อขัดขวางความพยายามของรัฐบาลจีนในการส่งเสริมการรวมชาติผ่านชาวไต้หวัน เสิ่นป๋อหยาง จึงได้ร่วมมือกับสมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรค  DPP เพื่อส่งเสริม "กฎหมายสายลับ" เพื่อสกัดกั้นการร่วมมือของคนไต้หวันกับจีนแผนดินใหญ่ เขายังคิดค้น "ดัชนีการแทรกซึมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน" โดยอ้างว่าเป็นดัชนีที่แสดงถึงระดับอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ซึ่งเป็นแนวทางที่ขบวนการเอกราชไต้หวันใช้เพื่อแทรกแซงประเทศอื่นๆ โดยอ้างว่าประเทศนั้นๆ ถูกจีนครอบงำ ทั้งๆ ในหลายๆ มิติเป็นความร่วมมือกันตามปกติ

ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 เขาได้ร่วมก่อตั้ง "วิทยาลัยหมีดำ" (黑熊学院) ร่วมกับ  เหอเฉิงฮุย (何澄辉) นักวิชาการด้านยุทธศาสตร์ และได้รับเงินลงทุน 600 ล้านดอลลาร์ไต้หวันจาก เฉาซิ่งเฉิง (曹兴诚) อดีตประธาน UMC ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ทีจุดยืนต่อต้านจีน 

เมื่อวันที่ 1 กันยายน  พ.ศ. 2565 เฉาซิ่งเฉิงประกาศว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ไต้หวันเพื่อส่งเสริมนักรบพลเรือน (นักรบหมีดำ) จำนวน 3 ล้านคน ซึ่งสามารถช่วยเหลือด้านการป้องกันภูมิภาคได้อย่างแข็งขันภายใน 3 ปี และร่วมมือกับทหารกองทัพแห่งชาติ อีกแผนหนึ่งคือการฝึกอบรมพลแม่นปืนพลเรือน (พลแม่นปืนเป่าเซียง) กว่า 300,000 คนโดยเร็วที่สุด แผนนี้ต้องอาศัยการประสานงานระหว่างกองทัพ ตำรวจ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นและเมืองต่างๆ และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันส่งเสริมและประกาศเจตนารมณ์ที่ว่า "ทุกคนเป็นทหารและต่อต้านการรุกราน"

นอกจากจะได้รับเงินจากเศรษฐี เฉาซิ่งเฉิง แล้ว สำนักข่าวกวนฉาเจ่อ (观察者网) ของจีนยังอ้างข้อมูลจากนักข่าวชาวไต้หวันที่เปิดเผยว่า เสิ่นป๋อหยาง ได้รับเงินอย่างน้อย 1.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 13.063 ล้านหยวน) จาก “เจ้านายต่างชาติ” เงินจำนวนนี้ไม่ได้โอนโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าบัญชีส่วนตัวของ เสิ่นป๋อหยาง แต่เงินนี้เกี่ยวข้องกับแผนการ “กลลวง” สองแบบ ขั้นแรก USAID ของรัฐบาลสหรัฐฯ โอนเงินจำนวนดังกล่าวไปยังบัญชีสะอาดของเขา นั่นคือมูลนิธิ Open Society Foundations หรือ OSF ซึ่งก่อตั้งโดยจอร์จ โซรอส เจ้าของฉายาพ่อมดการเงิน จากนั้นมูลนิธิ OSF ได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวไปยัง “องค์กรภาคประชาสังคม” สามแห่งที่เกี่ยวข้องกับ เสิ่นป๋อหยาง

แม้ว่า เสิ่นป๋อหยาง จะปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเงินทุนนี้มาจากเงินบริจาคส่วนตัวของ Soros เนื่องจากมีอุดมการณ์ร่วมกัน แต่รายงานและเอกสารออนไลน์จำนวนมากบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง USAID และ OSF โครงการของ OSF 

สำหรับ  "วิทยาลัยหมีดำ" หรือ "นักรบหมีดำ" อ้างว่ามุ่งหวังที่จะส่งเสริมการศึกษาด้านการป้องกันดินแดนแก่ประชาชนทั่วไปในไต้หวัน ปลูกฝังความตระหนักรู้เกี่ยวกับการต่อต้านศัตรูนั่นคือจีน และฝึกฝนทักษะการป้องกันตนเองขั้นพื้นฐานในยามสงครามในกรณีที่จีนทำการรุกราน รวมถึงการอพยพ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และอื่นๆ รวมถึงมีส่วนร่วมในการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองสาธารณะเพื่อช่วยเหลือกองทัพบกในการรบ ซึ่งการเข้าค่ายพื้นฐาน "วิทยาลัยหมีดำ" มีการบรรยายประมาณหนึ่งถึงสองเดือนครั้ง และเชิญผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการมาแนะนำประเด็นปัญหาระหว่างประเทศและประเด็นปัญหาข้ามช่องแคบไต้หวันในด้านต่างๆ แก่สาธารณชน  

การฝึกซ้อมกลางแจ้ง “ปฏิบัติการนกนกสาลิกาสีน้ำเงิน” (蓝鹊行动) จัดขึ้นประมาณทุกหกเดือน และเปิดรับผู้เข้ารับการฝึกที่เคยเข้าร่วมค่ายพื้นฐาน การฝึกจำลองสถานการณ์สงครามในเมืองต่างๆ ของไต้หวัน รวมถึงการฝึกซ้อมป้องกันภัยทางอากาศ การอพยพและแจ้งเตือน และการฝึกซ้อมผู้บาดเจ็บสาหัส เพื่อทดสอบความสามารถในการตอบสนอง นอกจากนี้ยังสอนวิธีการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจค้นโดยเจ้าหน้าที่ติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์จีน วิธีการตรวจจับและติดตามกองทัพปลดปล่อยประชาชน

"วิทยาลัยหมีดำ" มีความเกี่ยวพันกับกลุ่มการเมืองเรียกร้องเอกราชไต้หวัน เช่น ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ไช่อิงเหวิน ประธานพรรค DPP  ได้เชิญ เสิ่นป๋อหยาง ให้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมพรรค DPP ไช่อิงเหวิน แสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดของ เสิ่นป๋อหยาง และสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่เป็นคู่เจรจาเพื่อริเริ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน  

ด้วยกิจกรรมต่อต้านจีนและสนับสนุนเอกราชไต้หวันเหล่านี้ทำให้เมื่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567 สำนักงานกิจการไต้หวันของสภากลางคอมมิวนิสต์จีนประกาศรายชื่อ "การควบคุมบาตร" ต่อกลุ่มหัวรุนแรงที่ต้องการ "เอกราชของไต้หวัน" หรือพวก "ไถตู๋" (台独) และ เสิ่นป๋อหยาง ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นนั้น  จนกระทั่ง 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสาธารณะเทศบาลนครฉงชิ่งอาจเป็นไปได้การสอบสวน เสิ่นป๋อหยาง ในข้อสงสัยว่ากระทำการเคลื่อนไหวเพื่อแยกดินแดน 

เพื่อตอบโต้เรื่องนี้ เสิ่นป๋อหยาง เขียนบนเฟซบุ๊กว่า "เมื่อวานนี้ เราได้วิเคราะห์สัญญาณที่ผิดปกติของจีน และวันนี้จีนกำลังดำเนินการเพื่อจัดการกับผู้ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาและผู้ที่ปกป้องไต้หวัน ยึดมั่นในหลักการของพรรคคอมมิวนิสต์" เขากล่าวเสริมว่า นี่เป็นครั้งที่หกในรอบปีที่จีนระบุชื่อเขา และครั้งนี้ตำรวจได้เปิดคดีเพื่อสอบสวนโดยตรง ขั้นตอนต่อไปน่าจะเป็นการออกหมายจับเขาและการพิจารณาคดีลับหลัง "ไม่สำคัญหรอก คนไต้หวันไม่ได้กลัวอยู่แล้ว"

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - Puma Shen (撲馬) / Facebook

TAGS: #沈伯洋 #ไต้หวัน #จีน