ผู้นำจาก 32 ประเทศในกลุ่มนาโต้มารวมตัวกันเพื่อประชุมสุดยอดที่กรุงเฮกในสัปดาห์นี้ ส่วนใหญ่ต้องการส่งสารที่ชัดเจนว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามหลักต่อพันธมิตรของตน
แต่เสียงที่ดังที่สุดในห้องนั้นอาจจะไม่เห็นด้วย
ตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้พลิกโฉมแนวทางของชาติตะวันตกต่อสงครามของรัสเซียกับยูเครน โดยบ่อนทำลายรัฐบาลเคียฟและเปิดประตูสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัฐบาลมอสโก
แม้ว่าผู้นำที่อารมณ์ร้อนจะแสดงความผิดหวังต่อวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียที่ปฏิเสธการหยุดยิง แต่ทรัมป์กลับหลีกเลี่ยงที่จะลงโทษรัฐบาลเครมลิน
ในการประชุมสุดยอด G7 เมื่อสัปดาห์นี้ ทรัมป์ได้สร้างความฮือฮาด้วยการกล่าวว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมไม่ควรขับไล่รัสเซียออกไป
ก่อนการประชุมที่กรุงเฮก นักการทูตจากนาโต้กำลังโต้เถียงกันเรื่องแถลงการณ์การประชุมสุดยอดที่มีความยาว 5 ย่อหน้า โดยหลายประเทศเรียกร้องให้มีคำกล่าวอ้างเต็มปากว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม
พวกเขากล่าวว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยอธิบายประเด็นหลักของการประชุมครั้งนี้ได้ นั่นคือข้อตกลงที่ประเทศต่างๆ จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเพื่อตอบสนองความต้องการของทรัมป์ที่ต้องการให้เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมให้ถึง 5% ของ GDP
แถลงการณ์เกี่ยวกับ 'ภัยคุกคาม' ของรัสเซีย
นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 กลุ่มพันธมิตรนาโต้ได้เรียกรัสเซียว่า "ภัยคุกคามโดยตรงและสำคัญที่สุดต่อความมั่นคงของพันธมิตร ตลอดจนต่อสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ยูโร-แอตแลนติก"
แต่ในครั้งนี้ สหรัฐฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฮังการีและสโลวาเกียที่เป็นมิตรกับรัฐบาลมอสโก ได้ตั้งใจที่จะลดทอนเรื่องนี้ลง
บรรดานักการทูตพยายามเลี่ยงไปใช้ใช้คำที่มีความหมายหลากหลาย เช่น คำว่า "ภัยคุกคาม รวมถึงรัสเซีย" หรือ "ภัยคุกคามระยะยาวที่รัสเซียก่อขึ้นต่อความมั่นคงของยุโรป-แอตแลนติก"
การใช้คำที่มีความหมายแฝงเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่มีความหมายมากสำหรับประเทศต่างๆ ที่ถูกขอให้เพิ่มการใช้จ่ายอย่างมหาศาลด้านกลาโหม และสำหรับประเทศที่อยู่ทางตะวันออกของนาโต้ซึ่งถูกรัสเซียคุกคามมากที่สุด
นาโต้เตือนว่ารัสเซียอาจพร้อมที่จะโจมตีประเทศพันธมิตรภายใน 5 ปี
"หากเราสามารถโน้มน้าวให้ทรัมป์ลงนามในการเรียกรัสเซียว่าเป็นภัยคุกคามระยะยาวได้ นั่นก็จะถือเป็นผลลัพธ์ที่ดี" นักการทูตระดับสูงของยุโรปกล่าวกับ AFP
สำหรับนาโต้ นี่คือ'ภัยคุกคามใกล้ตัว'
ในห้วงเวลาที่ความพยายามรักษาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนของสหรัฐฯ หยุดชะงัก นักการทูตรายนี้กล่าวว่ารัฐบาลวอชิงตันดูเหมือนจะ "เคลื่อนไหวมาทางเราหนึ่งเซนติเมตร" เพื่อแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวขึ้นต่อรัสเซีย
“แน่นอนว่าประเทศที่แข็งกร้าวกว่านั้นต้องการที่จะไปไกลกว่านี้ แต่แค่ขอให้ทรัมป์เห็นด้วยก็ยังดี” นักการทูตคนนั้นกล่าว
เหตุผลส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ คือ รัฐบาลวอชิงตันกังวลมากกว่าเกี่ยวกับภัยคุกคามที่จีนก่อขึ้นทั่วโลก และรัสเซียเป็นปัญหาในยุโรปมากกว่า
“รัสเซียเป็นภัยคุกคามที่ใกล้ตัว” แมทธิว ไวเทเกอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต้กล่าว
“แต่เห็นได้ชัดว่าจีนเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคน และเราจำเป็นต้องเป็นพันธมิตรและจัดการกับภัยคุกคามเหล่านั้นด้วย”
คามิลล์ แกรนด์ จากสภายุโรปว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกล่าวว่าภายใต้การปรับจูนทางการทูต นาโต้กำลังเผชิญกับ “คำถามพื้นฐาน”
“สหรัฐฯ มองรัสเซียอย่างไร” เขากล่าว “จนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้คำตอบจริงๆ”
แม้ว่านาโต้จะเลือกใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าวกว่ากับรัสเซีย ก็ยังมีความเป็นไปได้เสมอที่ทรัมป์จะปรากฏตัวที่กรุงเฮกและโต้แย้งโดยตรง
แต่การอภิปรายอาจกลายเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้นในช่วงหลายเดือนหลังการประชุมสุดยอด เมื่อสหรัฐฯ อาจประกาศถอนกำลังทหารในยุโรป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนการส่งกำลังทหารไปประจำทั่วโลกของสหรัฐฯ
ความแตกแยกเกี่ยวกับยูเครน
ด้านหนึ่งที่รัฐบาลวอชิงตันดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรส่วนใหญ่อย่างชัดเจนก็คือการสนับสนุนยูเครน
โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้โดยไม่ได้เข้าร่วมโดยตรง แต่การมีส่วนร่วมของเขาถูกจำกัดให้น้อยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้งกับทรัมป์
นักการทูตกล่าวว่าควรมีการอ้างอิงในแถลงการณ์การประชุมสุดยอดที่เชื่อมโยงการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศครั้งใหม่กับการช่วยเหลือยูเครน แต่จะไม่มีการพูดถึงการผลักดันระยะยาวของรัฐบาลเคียฟในการเข้าร่วมนาโต้
เคิร์ต โวลเกอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำนาโต้กล่าวว่า "สหรัฐไม่เห็นว่าความมั่นคงของยูเครนมีความสำคัญต่อความมั่นคงของยุโรป"
"พันธมิตรยุโรปของเรามองว่าเป็นเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าหากปล่อยให้ปูตินมีอำนาจเหนือยูเครน หรือหากยูเครนไม่สามารถอยู่รอดในฐานะรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยได้ พวกเขาก็ตกอยู่ในความเสี่ยง" โวลเกอร์ กล่าว
Agence France-Presse
Photo - ทหารกองกำลังภาคพื้นดินลงจากเรือบรรทุกสินค้าบนชายหาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมปฏิบัติการหลักในการรบทางทะเลที่มีความเข้มข้นสูง (POHI) ซึ่งรู้จักกันในชื่อปฏิบัติการ POLARIS 25 รวบรวมทหารราว 3,000 นายจากกว่า 10 ประเทศ เรือรบ 20 ลำ กองกำลังเฉพาะกิจของนาโต และเครื่องบินกว่า 40 ลำ (ภาพถ่ายโดย Loic VENANCE / AFP)