กองทหารที่สวมผ้าโพกศีรษะซึ่งนั่งอยู่บนหลังอูฐ สัตว์ที่ได้ฉายาว่า "เรือแห่งทะเลทราย" ภาพที่เห็นนี้อาจชวนให้นึกถึงภาพในอดีต แต่กองทหารม้าอูฐของมอริเตเนียมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับกลุ่มญิฮาดในปัจจุบัน
พวกเขาคือกลุ่มเมฮาริสต์ (Meharists) ซึ่งเป็นทายาทของหน่วยทหารขี่อูฐที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นจักรวรรดินิยมปกครองประเทศแอฟริกาตะวันตก โดยผู้สื่อข่าวของ AFP ร่วมลาดตระเวนกับพวกเขาเป็นเวลาสองวัน
ทหารหลายคนสะพายปืนคาลาชนิคอฟไว้บนไหล่ ขณะที่โดรนรุ่นใหม่บุกทะลวงอากาศในทะเลทรายซาฮาราที่กำลังลุกไหม้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ
ทางตะวันออกของมอริเตเนียคือประเทศมาลีมีพรมแดนที่เปิดโล่งและบางจุดมีการกำหนดเขตไม่ชัดเจน มีความยาว 2,200 กิโลเมตร (1,370 ไมล์) รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในแถบซาเฮล (ชายของทะเลทราบซาฮารา) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้อย่างบูร์กินาฟาโซและไนเจอร์ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของกลุ่มญิฮาด
เพื่อควบคุมพื้นที่ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มอริเตเนียจึงหันมาใช้อูฐโหนกเดียว ซึ่งเป็นพาหนะนำทางในภูมิประเทศที่เป็นทราย และสามารถเอาชนะรถออฟโรดได้
พันเอกมูลาเย อัล-บาชีร์ ผู้บัญชาการหน่วยกองกำลังแห่งชาติ กล่าวว่า "กลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนสามารถส่งกำลังไปประจำการในพื้นที่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐมีกองกำลังประจำการอยู่ที่นั่น"
กลยุทธ์ดังกล่าวดูเหมือนว่าจะได้ผลดี มอริเตเนียไม่เคยถูกโจมตีโดยกลุ่มญิฮาดเลยตั้งแต่ปี 2011
'รถเก๋ง' แห่งทะเลทรายซาฮารา
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หน่วยทหารขี่ม้าในทะเลทรายก็ลดจำนวนลงเหลือเพียง 50 นายเท่านั้น
ตั้งแต่ปี 2019 หน่วยนี้ได้รับการฟื้นฟู และปัจจุบัน "กลุ่มชนเผ่าเร่ร่อน" มีทหารขี่ม้าประมาณ 150 นาย รวมถึงฝูงอูฐอีก 400 ตัว
นักการทูตยุโรปคนหนึ่งบอกกับ AFP ว่ากลุ่มเมฮาริสต์ได้รับการสนับสนุนจากเงินช่วยเหลือหลายล้านยูโรจากสหภาพยุโรป ซึ่งมีความสนใจในการรักษาเสถียรภาพของมอริเตเนียที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิภาคที่ไม่มั่นคงทางการเมือง
ในเช้าวันนี้ ทหารหลังอูฐประมาณ 15 นายออกฝึกซ้อมเดินทางผ่านพุ่มไม้หนามและเนินทราย
ภายใต้คำแนะนำที่ส่งเสียงร้องผ่านสัญญาณวิทยุสื่อสารที่ดังกรอบแกรบ การฝึกซ้อมประจำวันคือการใช้โดรนเพื่อช่วยระบุและจับกุมคนขโมยวัว
เหล่าผู้ขี่ม้าต้องยกความดีความชอบให้กับอูฐโหนกเดียวหรืออูฐอาหรับเป็นอย่างมาก
อูฐโหนกเดียวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและสามารถอยู่ได้หลายสัปดาห์โดยไม่กินหรือดื่มอะไรเลย พวกมันจึงเหมือนกับ "รถเก๋ง" ของทะเลทรายซาฮารา พันโทเอการ์ ซิดี ผู้บังคับบัญชากลุ่มซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันชาติ กล่าวติดตลก
พันเอกอัลบาเชียร์ยกย่อง "ความรู้สึกแห่งอิสรภาพ" ที่อูฐโหนกเดียวมอบให้กับเหล่าผู้ขี่บนหลังของพวกมัน
"สำหรับพวกเราชาวทะเลทราย อูฐโหนกเดียวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ เราใช้อูฐโหนกเดียวเป็นพาหนะ เพื่อเป็นนม เป็นเนื้อ"
'พันธะแห่งความไว้วางใจ'
กลุ่มเมฮาริสต์มีหน้าที่ในการรวบรวมข่าวกรอง ในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงนูอากชอตของมอริเตเนียไปกว่า 1,000 กิโลเมตร และเป็นเขตที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลของแคว้นฮอธ เอช ชาร์กี ใกล้ชายแดนประเทศมาลี
ฮอธ เอช ชาร์กี เป็นพื้นที่ที่มีผู้คนจำนวนมากข้ามพรมแดนมาจากมาลี โดยปัจจุบันค่ายมเบราเป็นที่อยู่ของผู้ลี้ภัยชาวมาลีประมาณ 140,000 คน ตามข้อมูลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
คาดว่ายังมีอีกหลายคนอาศัยอยู่นอกเขตค่าย โดยหลบหนีจากการคุกคามของนักรบญิฮาดและภัยคุกคามจากการข่มเหงจากกองทัพมาลีหรือพันธมิตรทหารรับจ้างชาวรัสเซีย
ชาวมาลีส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มาจากชนเผ่าเร่ร่อน ซึ่งข้ามพรมแดนไปยังพื้นที่ที่นักรบญิฮาดมักจะใช้เป็นพื้นที่คัดผู้คนเามาร่วมขบวนการ
การปรากฏตัวของกลุ่มเมฮาริสต์เป็นเพียงวิธีเดียวที่ทางการมอริเตเนียหวังว่าจะแสดงให้พวกเร่ร่อนเห็นว่า "รัฐมอริเตเนียยังมีอำนาจปกครอง" อยู่
เพื่อให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม สมาชิกของกลุ่มขี่ม้าได้รับการคัดเลือกจากชนเผ่าเบดูอิน ในขณะที่ผู้ขี่ม้าพยายามสร้างสะพานเชื่อมกับชาวทะเลทรายที่แข็งแกร่ง
“การดูแลปศุสัตว์ การติดตามคนขโมยวัว การตามหาสัตว์ที่หายไปซึ่งได้ส่งคืนเจ้าของ ถือเป็นการสร้างสายสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจ” พันเอกอัลบาเชียร์กล่าว
พลจัตวา มเบอริก มัสซูดและลูกน้องอีกสี่คนเพิ่งตั้งค่ายพักแรมในคืนนี้ น้ำชาถูกต้มและกองไฟถูกจุดขึ้นเมื่ออากาศเย็นสบายในตอนกลางคืนปกคลุมทะเลทรายซาฮารา
มัสซูดลาดตระเวนในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่เข้าร่วมกองกำลังรักษาการณ์ในปี 2532
“พวกเรามาเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในระดับรัฐ เราให้การรักษาและยารักษาโรคแก่พวกเขา” พันเอกอัลบาเชียร์กล่าว
ควบคุมน้ำ ควบคุมทะเลทราย
ผู้ที่ต้องการข้ามทะเลทรายจะต้องข้ามผ่านบ่อน้ำหลายแห่งที่รัฐบาลมอริเตเนียสร้างขึ้นในจุดสำคัญต่างๆ ตามเส้นทางลาดตระเวนของกลุ่มเมฮาริสต์
“ใครก็ตามที่ควบคุมจุดน้ำได้จะควบคุมทะเลทราย” พันเอกอัลบาเชียร์กล่าว
นอกจากจะทำให้รัฐและคนในพื้นที่ติดตามผู้ที่พยายามเดินทางจากมาลีมายังมอริเตเนียได้ง่ายขึ้นแล้ว บ่อน้ำยังส่งเสริมให้ประชากรเร่ร่อนตั้งถิ่นฐานอีกด้วย
ในระหว่างการตรวจสอบหอเก็บน้ำในทะเลทรายแห่งหนึ่ง วิศวกรโครงการ Adama Diallo กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า "ในปี 2017 ไม่มีแม้แต่กระท่อมเลย"
"ปัจจุบัน มีชาวมอริเตเนียอาศัยอยู่ 50 ถึง 60 ครอบครัว ถือเป็นความสำเร็จ” เขากล่าว
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลได้สร้างสถานพยาบาลขนาดเล็กขึ้น ซึ่งช่วยให้ชาวเมืองไม่ต้องเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด
เพราะชีวิตของชาวเบดูอินที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงที่ถูกพายุทรายพัดถล่มนั้นยากลำบาก เพราะอุณหภูมิอาจสูงถึง 50 องศาเซลเซียส (122 องศาฟาเรนไฮต์)
“ที่นี่อยู่ไกลจากถนนสายหลักมาก เราไม่มีเครือข่าย ไม่มีรถ ไม่มีร้านค้า” บอดเดห์ วูล เชคด์ หญิงวัย 50 ปีในท้องถิ่นคนหนึ่งกล่าว โดยเธอปิดบังใบหน้าไว้
เนื่องจากมอริเตเนียคอยจับตาดูพลเมืองของตนอยู่เสมอ ความสำเร็จของประเทศในการต่อสู้กับกลุ่มญิฮาดจึงไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการปรากฏตัวของผู้ขี่ม้าแบบมีโหนกแก้มเพียงอย่างเดียว หรือด้วยโครงการพัฒนาในพื้นที่ทะเลทราย
อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่นๆ ในแถบซาเฮล รวมทั้งชาดและไนเจอร์ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจในมอริเตเนียอย่างมาก
พันเอกอัลบาชีร์กล่าวว่าเขาหวังว่าจะสามารถฝึกหน่วยเมฮาริสต์อื่นๆ ในพื้นที่ได้ในไม่ช้านี้ และแบ่งปัน "ประสบการณ์ของชาวมอริเตเนีย" บนอานหลังอูฐอันแสนจะเพลิดเพลินใจ
Agence France-Presse
Photo by PATRICK MEINHARDT / AFP