ผู้นำสหรัฐฯประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน ยกเว้นจีน - "กรณ์" วิเคราะห์จะจบอย่างไร

ผู้นำสหรัฐฯประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน ยกเว้นจีน -
"ทรัมป์" ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ เป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นประเทศจีน ขณะที่ "กรณ์" วิเคราะห์ทรัมป์ถอย สงครามการค้าจะจบอย่างไร

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ เป็นเวลา 90 วัน โดยให้มีผลทันที ยกเว้นประเทศจีนที่ถูกจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ที่อัตราร้อยละ 125 พร้อมระบุว่า การประกาศเลื่อนดังกล่าว จะเปิดทางให้สหรัฐฯ มีเวลาหารือกับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังแคนาดา ในฐานะประธานกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ (G7) ระบุว่า ขณะนี้ แคนาดากำลังหารือร่วมกับญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ ท่ามกลางความปั่นป่วนของตลาดที่เกิดขึ้นจากผู้นำสหรัฐฯ

ขณะที่ นายฟรีดริช แมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี กล่าวชื่นชมการชะลอการจัดเก็บภาษีครั้งนี้ว่าแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของอียู พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ กับอียูเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าปลอดภาษี

"กรณ์" วิเคราะห์ทรัมป์ถอย สงครามการค้าจะจบอย่างไร
 
ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ทรัมป์ถอย - สงครามการค้าจะจบอย่างไร? เรื่องนี้เริ่มด้วยอเมริกาประกาศเพดานภาษีกับทุกประเทศทั่วโลก

เมื่อคืนนี้ปรับของทุกประเทศลงมาที่ 10% ถ้วนหน้า แต่เพิ่มของจีนเป็น 125% (ผมว่าเป็นการเพิ่มเพื่อรักษา form ไม่ให้คิดว่ามีแต่ถอย ซึ่งจะ 125 หรือ 104 ไม่ได้ต่างกันเท่าไร)

ดังนั้นตอนนี้หลักๆกลายเป็นสงครามระหว่างอเมริกากับจีน เพราะจีนเป็นประเทศเดียวที่ไม่ยอมอเมริกา (จริงๆมีแคนาดาด้วย แต่เป็นความขัดแย้งคนละระดับกัน)

ทรัมป์คงเห็นแล้วว่าในสงครามนี้ ไม่ควรผลักให้คนอื่นๆกลายเป็นศัตรู ซึ่งประเด็นนี้สำคัญ เพราะจากนี้เริ่มมีการประเมินว่า ขั้นตอนต่อไป คืออเมริกาอาจจะเรียกร้องให้ประเทศคู่ค้าต่างๆเลือกว่าจะค้ากับอเมริกาหรือจีน!

อันนี้เรื่องใหญ่ ฟังแล้วอาจเกินความเป็นจริง แต่หากเรามองว่าเราอยู่ในสภาวะสงคราม สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็อาจจะเกิดได้

สาเหตุที่อเมริกาอาจจะเรียกร้องตามนี้ก็เพราะ อเมริกาจะยอมตกลงอัตราภาษีกับประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ ถ้าประเทศนั้นยังมีการค้ากับจีนเพราะจะเสมือนอเมริกายอมให้จีนขายสินค้าทางอ้อมให้กับอเมริกาในอัตราภาษีที่ตํ่ากว่าเทียบกับถ้าจีนขายให้อเมริกาโดยตรง

อันนี้ยังไม่นับข้อเท็จจริงที่ว่ามีสายเหยี่ยวทั้งที่จีนและอเมริกามองเป็นทุนเดิมว่า สุดท้ายแล้วระหว่างจีนกับอเมริกาฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ชนะและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้แพ้

วันนี้อเมริกาได้เริ่มกดดันประเทศที่ส่งออกสินค้าที่ผลิตโดยจีนหรือผลิตด้วยวัตถุดิบจากจีน ขั้นตอนต่อไปก็เพียงออกกฏว่าหากยังซื้อของจากจีนก็จะไม่สามารถค้าขายกับอเมริกาได้เลย เว้นจะโดนภาษี 104% ด้วย …นี่คือสิ่งที่ผมกลัว

หากเราต้องเลือก เราจะเลือกอย่างไร? ไทยเองขาดดุลมหาศาลจากการค้าขายกับจีน เราผลิตสู้เขาไม่ได้ แต่เราก็ไม่อยากต้องเลือก ของเราจะแพงขึ้น ถ้าอเมริกากดดันแบบสุดโต่ง ไม่เพียงจำกัดสินค้าจีนที่เป็นวัตถุดิบ แต่จำกัดสินค้าทุกชนิด เราจะไม่มีทางเลือกที่จะซื้อรถ BYD ทีวี Hisense หรือ โทรศัพท์ Huawei สินค้าของเราหลายอย่าง (เช่นทุเรียนหรือลำใยอบแห้ง) เราก็จะขายใครไม่ได้เลย นักท่องเที่ยวจีนก็จะหาย

จะทิ้งอเมริกาก็อย่าลืมว่าเรามีดุลการค้าที่เป็นบวกกับเขาปีละ 1 ล้านล้านบาท ผู้ประกอบการไทยจะเดือดร้อนแค่ไหนหากเราถูกกีดกันไม่ให้ค้าขายกับอเมริกา

ที่น่ากลัวมากกว่านั้นคืออเมริกาอาจจะใช้ ดอลล่าร์เป็นอาวุธ ใครไม่เลือกข้างเขาอาจจะโดนภาษีการถือครองดอลล่าร์ ดีไม่ดีทรัมป์เล่นบทถนัดในการต่อรองปรับโครงสร้างหนี้กับประเทศเจ้าหนี้อีก (เราเป็นเจ้าหนี้ใหญ่นะครับ ถือพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาอยู่นับล้านล้านบาท)

สงครามนี้ประเทศอย่างเราจะลำบากมาก ต้องคิดเผื่อและเตรียมตัว เรามียุทธศาสตร์ไม่เลือกข้างมาตลอด และคิดเสมอว่าทั้งสองประเทศมหาอำนาจเขาต้องแข่งกันมาง้อเรา ตอนนี้ดูเหมือนมีหนึ่งฝ่ายที่เปลี่ยนกลยุทธ์ ไม่ง้อแล้วแต่จะใช้การขู่แทน ว่าจะเลือกใคร

ที่น่ากลัวที่สุดคือประวัติศาสตร์ สาเหตุสำคัญที่ญี่ปุ่นตัดสินใจบุก Pearl Harbour เมื่อ 80 กว่าปีก่อนก็เพราะญี่ปุ่นเกรงว่าจะถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจ

ไทยเราต้องคิดเผื่อทุกสถานการณ์ ทางการทหารตามปกติจะมีการเตรียมตัวป้องกันภัยคุกคามอยู่แล้ว แต่ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มโอกาสสูงกว่า เรานิ่งเฉยไม่คิดเผื่อไม่ได้เลย
 

TAGS: #ทรัมป์ #ภาษี #สหรัฐ #คู่ค้า #จีน #กรณ์