เจ้าของชื่อตัวจริงของ 'อุเทนถวาย' เขาคือพระเจ้าอุเทน กษัตริย์อินเดียโบราณ 

เจ้าของชื่อตัวจริงของ 'อุเทนถวาย' เขาคือพระเจ้าอุเทน กษัตริย์อินเดียโบราณ 

'มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย' หรือเรียกสั้นๆ ว่า  'อุเทนถวาย'  ได้ชื่อมาจาก 'สะพานอุเทนถวาย' ที่เคยตั้งอยู่ในบริเวณด้านหน้าสถาบัน แต่ปัจจุบันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ที่มาของสะพานอุเทยถวายนั้น 'หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม' ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ให้ข้อมูลไว้ว่า "สะพานอุเทนถวาย เป็นสะพานที่ข้าราชการกรมสรรพากรร่วมบริจาคเงินสร้างสะพานอุทิศกุศลถวายพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า อุเทนถวาย เนื่องจากตราของกรมสรรพากรคือพระอุเทนธราริราชดีดพิณ"

'พระอุเทนธราริราช' คือบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์โลก พระองค์เป็นกษัตรย์ของอาณาจักรวัตสะ ( Vatsa) หรือวังสะ อันเป็นแคว้นหนึ่งใน 'มหาชนบท 16 แคว้น' หรือเรัยกง่ายๆ อาณาจักรโบราณทั้ง 16 อาณาจักรของอินเดียโบราณ ปัจจุบันอยู่ใน รัฐอุตตรประเทศ ของประเทศอินเดีย 
 
'พระอุเทนธราริราช' มีพระนามอีกอย่างว่า อุเทน หรืออุทยนะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าศาตานีกะที่ 2 กับนางมฤควาตี พระราชธิดาของกษัตริย์กฤตวรมัน ตามตำนานกล่าวว่า นางมฤควาตีเป็นอวตารของอัปสราชื่ออลัมพุษา ผู้ซึ่งถูกพระอินทร์สาปแช่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์หลังจากตกหลุมรักเทวดาองค์หนึ่งที่ชื่อวิธูมะ 

ตามประวัติศาสตร์ นางมฤควาตีเป็นมเหสีของพระเจ้าศาตานีกะที่ 2 (ชางข้อมูลบอกว่าเป็นมเหสีของพระเจ้าปลันตาปะ แห่งกรุงโกสัมพี) แต่ตอนที่พระนางมฤควาตีกำลังมีครรภ์ทรงทาสีแดงที่ร่างกาย ทำให้นกหัสดีลิงค์ ซึ่งเป็ยนกยักษ์เห็นเข้าแล้วเข้าใจผิดว่านางเป็นเนื้อสัตว์สีแดง จึงโฉบมาคาบนางไป แล้วทำหล่นลงที่อาศรมของฤๅษีาอัลลกัปปดาบส แล้วจึงคลอดพระโอรส คือพระเจ้าอุเทน ทรงได้พระนามนี้มาเพราะประสูติยามรุ่งอรุณ เนื่องจากคำว่า อุเทน แปลว่า รุ่งอรุณที่ปราศจาก เมฆหมอก

ขณะที่อาศัยกับอัลลกัปปดาบส พระเจ้าอุเททรงได้รับพิณชั้นเยี่ยม คือพิณสามสาย ได้เรียนทักษะการฝึกช้าง โดยอัลลกัปปดาบสได้สอนมนต์ชื่อหัสดีกันต์และพิณสามสาย เมื่อดีดพิณ และสาธยายมนต์ สามารถทำให้ช้างหนี หรือช้างเข้ามาหาก็ได้ นอกจากความวิเศษเหล่านี้แล้วยังทรงมีผู้ติดตาม ในที่สุดพระองค์และพระมารดาก็เดินทางกลับบ้านเกิด คือเมืองโกสัมพี

สาเหตุที่พระเจ้าอุเทนปรากฏพระองค์พร้อมกับพิณ ก็เพราะทรงมีพิณชั้นยอดและยังโปรดการเล่นดนตรี โปรดศิลปะ และโปรดสตรีด้วย 

แต่ระหว่างนั้น พระเจ้าอุเทนถูกจับโดยพระเจ้าปรัทโยต กษัตริย์แห่งอาณาจักรอุชเชน ที่แคว้นนี้ พระเจ้าอุเทนเขาสอนพิณให้กับพระราชธิดาของพระเจ้าปรัทโยต ชื่อ วาสะวทัตตา และทั้งสองก็ตกหลุมรักกัน ในที่สุดก็พากันหนีไปที่โกสัมพี 

เมื่อถึงโกสัมพี พระเจ้าอุเทนก็ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์โดยชอบธรรม และเสกสมรสกับพระนางวาสะวทัตตา แต่พวกขุนนางด้วยความกลัวว่าพระเจ้าอุเทนจะไม่ใส่ใจราชกิจ และต้องการให้พระองค์เสกสมรสกับพระราชธิดาของแคว้นอื่นเพื่อหาพันธมิตรทางการเมืองเพิ่มเติม พวกขุนนางโกหกว่าพระนางวาสะวทัตตาสิ้นพระชนม์แล้ว และส่งผลให้พระเจ้าอุเทนต้องเสกสมรสกับนางปัทมาวตี

แม้ว่าในเวลาต่อมา พระเจ้าอุเทนจะได้กลับมาครองรักกับพระนางวาสะวทัตตาอีกครั้ง แต่ทั้งสองพระองค์ก็ยังคงไม่มีบุตร ต่อมา พระกุเวร เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้ให้พร พระนางวาสะวทัตตาจึงตั้งครรภ์ มีพระโอรสชื่อ นรวาหนะทัตตะ ซึ่งต่อเป็นเจ้าเหนือหัวของพวกวิทยาธร หรือพวกผู้วิเศษทั้งหลาย 

เรื่องราวข้างต้นมีความเกี่ยวข้องกับพระศาสนายุคพระเวท หรือศาสนาพราหมณ์อย่างมาก เพราะมีการเอ่ยถึงเทพเจ้าและการอวตารของเทวดามาเป็นบุคคลต่างๆ ในเรื่อง แต่ในอีกตำนานสายหนึ่ง พระเจ้าอุเทนยังทรงมีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างมาก

จากข้อมูลของ พจนานุกรมพุทธศาสนาขององค์กรโซกักงักไค (The Soka Gakkai Dictionary of Buddhism) ซึ่งเป็นองค์กรพุทธศาสนานิกายมหายานในญี่ปุ่นได้ให้ข้อมูลว่า ในพุทธศาสนามหายาน มีพระสูตรหนึ่งชื่อว่า 'อุทยนะสูตร' หรือพระสูตรเกี่ยวกับพระเจ้าอุเทน เล่าถึงการที่พระเจ้าอุเทนถูกพระสนมคนหนึ่งของพระองค์พยายามใส่ใคล้ให้พระองค์ฆ่าพระมเหสี พระเจ้าอุเทนจึงพยายามจะยิงพระเมหสีด้วยลูกธนู ลูกศรนั้นวนเวียนวนพระเมหสีสามครั้งแล้วกลับมาหาพระองค์ พระเมหสีจึงเปิดเผยแก่พระเจ้าอุเทนว่าพระนางเป็นสาวกของพระศากยมุนีพุทธเจ้า และกระตุ้นให้พระองค์เชื่อถือศรัทธาในพระพุทธเจ้าด้วย พระเจ้าอุเทนจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี และได้รับคำสั่งสอนจากพระองค์

นี่คือที่มาของพระเจ้าอุเทน ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในไทยนำไปใช้ อย่างไรก็ตาม พระนามของพระเจ้าอุเทนเกี่ยวข้องกับกรมสรรพากรมากกว่า เพราะกรมสรรพากรนำเอารูปของพระองค์ที่ถือพิณไปใช้เป็นตราประจำหน่วยงาน และเมื่อข้าราชการกรมสรรพากรได้สร้างสะพานถวายอุทิศแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่เพิ่งสวรรคตไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามสะพานว่า 'อุเทนถวาย' หมายความว่า ข้าราชการในกรมที่ใช้ตราพระเจ้าอุเทนได้ถวายสะพานนี้แก่ในหลวง 
 

TAGS: #อุเทนถวาย #ประวัติศาสตร์อินเดีย #พุทธศาสนา