ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคียง ทำให้ผู้บริโภคต้องกู้หนี้นอกระบบมากขึ้น
เมื่อรายได้กับรายจ่ายไม่สัมพันธ์กัน จึงทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี เป็นผลมาจากปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากภาคการส่งออกและการผลิต โดยการคงดอกเบี้ยครั้งนี้ ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระหนี้สูง เพราะธนาคารตั้งดอกเบี้ยอ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อมีการกู้เงินจากธนาคารไม่ว่าจะเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือเพื่อประกอบธุรกิจ ก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนกับธนาคารสูงไปด้วย จนทำให้ผู้บริโภคเหลือเงินใช้สอยในระบบเศรษฐกิจน้อยลง ดังนั้นเศรษฐกิจจึงมีแนวโน้มฝืดนั่นเอง
ด้วยภาระหนี้ที่ผู้บริโภคต้องแบกรับมากขึ้น จึงทำให้อัตราหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2563 จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อ้างอิงจากข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีสัดส่วนของหนี้มาจาก การกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ กู้เพื่ออุปโภคบริโภค และกู้เพื่อการประกอบกิจการตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดนี้มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่มีความจำเป็นต้องหันไปกู้เงินจากแหล่งเงินทุนนอกระบบ ด้วยยอดหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มสูงขึ้น โอกาสในการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินยิ่งยากขึ้น ประชาชนจึงเข้าถึงเงินทุนถูกกฎหมายได้น้อยลง เพราะไม่ผ่านเงื่อนไขตามที่สถาบันการเงินกำหนด เมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ได้มีการประกาศตัวเลขผู้ลงทะเบียนหนี้นอกระบบของกระทรวงมหาดไทยไว้กว่า 151,175 ราย มูลค่าหนี้นอกระบบรวมกว่า 11,732 ล้านบาท จึงสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น และฝังรากลึกในประเทศไทยมานาน
นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงในตลาดมากขึ้น ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามแผน
ปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่เพียงกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภค และเจ้าของกิจการอย่างเดียว ยังกระทบไปถึง กลุ่มของนักลงทุนที่แม้มีเงินเย็นอยู่ในมือ ก็ต้องบริหารจัดการเงินให้ชนะอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลในการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างรอบคอบมากขึ้น ตัวอย่างเช่นในปี 2566 หุ้นกู้ที่มี Credit Rating อยู่ในเกณฑ์เหมาะกับการลงทุน ก็มีการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น แม้ว่าการลงทุนในหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นสามัญก็ตาม เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้หลายบริษัทเกิดขึ้น จึงกระทบความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทยไปด้วย ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นจำนวนมาก จนทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดกว่า 1,357.97 จุดในวันที่ 13 ธ.ค. 2566 นักลงทุนภายในประเทศจึงได้รับผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไปด้วย
สมาร์ทฟินน์ปรับกลยุทธ์ ให้ผู้บริโภคมีโอกาสการเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้สมาร์ทฟินน์ปรับกลยุทธ์เพื่อเตรียมพร้อม รองรับกลุ่มผู้บริโภค เจ้าของกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน แม้มีโฉนดอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมายของสถาบันการเงิน ที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอัตราดอกเบี้ยคงที่ จากการลงทุนรับซื้อฝากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะนักลงทุนจะได้ถือครองโฉนดของผู้ขายฝากอย่างถูกกฎหมาย เพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการชำระหนี้ ขณะเดียวกันผู้กู้หรือผู้ขายฝากก็มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมายในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 9% ต่อปี ใกล้เคียงกับสถาบันการเงิน
บริษัท สมาร์ทฟินน์ โซลูชั่นส์ จำกัด ได้พัฒนาแพลตฟอร์มขายฝากออนไลน์ขึ้น ซึ่งเป็นระบบแมชชิ่งระหว่างผู้ขายฝากกับนักลงทุน เพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ลดเงื่อนไขข้อจำกัด และขั้นตอนการยื่นเรื่องให้น้อยกว่าสถาบันการเงิน โดยไม่เช็กเครดิตบูโร ไม่เช็กประวัติการเดินบัญชีหรือสเตทเมนต์ เพราะบริษัทฯ เข้าใจถึงปัญหาทางการเงินของผู้ประกอบการที่เคยขาดสภาพคล่องชั่วคราวจนส่งผลถึงประวัติการเดินบัญชี
ใน 7 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินไปมากกว่า 1,800 ราย มีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากกว่า 8,500 ล้านบาท โดยดร.ปริสุทธิ์ รัตนมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทฯ ได้ประกาศวางแผนเดินหน้าให้บริการขายฝากครอบคลุมจังหวัดในประเทศไทยมากขึ้น คู่ขนานกับการประชาสัมพันธ์ด้านการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนรู้จักการลงทุนรูปแบบรับซื้อฝากมากขึ้น ซึ่งเป็นการขยายตลาดทั้งสองกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้สโลแกนบริษัทฯ “เคียงข้าง สร้างโอกาสทางการเงิน” และมุ่งหวังว่าการขยายตลาดนี้ บริษัทฯ จะเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทย ผ่านการเพิ่มเงินทุนให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง แก้ปัญหาหนี้นอกระบบดอกเบี้ยสูงที่ผู้บริโภคต้องแบกรับจนทำให้เกิดภาระหนี้ซ้ำซ้อน
เป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการยกระดับการขายฝากให้มีมาตรฐานตามกรอบของกฎหมาย และเพิ่มทางออกทางการเงินให้กับคนไทย ลดปัญหาการพึ่งพาหนี้นอกระบบ ซึ่งการทำธุรกิจในรูปแบบช่วยเหลือสังคมดังกล่าว บริษัทฯ เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าจะนำพาองค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน สามารถสร้างประโยชน์ สร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย นับเป็นฟินเทคไทย ที่ช่วยให้ SMEs ไทยเดินต่อได้