"พิธา เผยหลังหารือ ‘เพื่อไทย’ แค่รับฟังซึ่งกันและกันก่อน ยังไม่มีแผนจะโหวตนายกฯให้หรือไม่

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงผลการประชุมหารือระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เรื่องทิศทางการโหวตนายกรัฐมนตรีว่า  เป็น การพูดคุยได้รับฟังซึ่งกันและกัน แต่คงต้องสื่อสารกันเรื่อยๆ ยังไม่มีผลสรุปอะไร โดยรับฟังกันอย่างมืออาชีพ

ทั้งนี้ เมื่อถามว่าส่วนจะโหวตนายกฯ ให้เพื่อไทยหรือไม่นั้น นายพิธากล่าวว่า วันนี้ขอฟังอย่างมีวุฒิภาวะและตั้งใจก่อน โดยยังไม่มีแผนต่อ

ด้าน รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์ข้อเขียนแสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

“ตอนนี้ พรรคเพื่อไทยรวมเสียงได้ ทั้งหมด 228 เสียง ยังไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไทยต้องเลือกว่า จะเอาพรรคใดอีกพรรคต่อไปนี้มาร่วมรัฐบาล จึงจะได้เสียงเกินครึ่ง

1.รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง รวมเป็น 264 เสียง แต่ปัญหาคือ ประชาชนไม่เอา
หรือ

2.พลังประชารัฐ 40 เสียง รวมเป็น 268 เสียง ปัญหาคือ ประชาชนไม่เอาเช่นเดียวกัน
หรือ

3.ก้าวไกล 150 เสียง รวมเป็น 378 เสียง ประชาชนเอา ไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว. แต่ภูมิใจไทยไม่เอา

ดังนั้น หากจะเอาก้าวไกลร่วมรัฐบาลต้องไปเจรจากับภูมิใจไทยให้เปลี่ยนจุดยืนเสียก่อน จะเอาโหวตเขามาโดยไม่ให้เขาร่วมรัฐบาล เป็นการเห็นแก่ได้มากเกินไป เลือกเอาตามสบายเลยครับ”

การที่พรรคเพื่อไทยยอมง้อขอคืนดี ขอโทษ พรรคก้าวไกล เพื่อหวังให้ช่วยโหวตนายกรัฐมนตรีให้ "เศรษฐา ทวีสิน"เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น แม้จะถูกถากถางเย้ยหยันในทางการเมืองจากด้อมส้ม เพราะเพิ่งถีบก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน   แต่ในทางการเมือง พรรคเพื่อไทยก็แสดงให้เห็นว่าพร้อมจะยืดหยุ่นในเกมการตั้งรัฐบาล

1.แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่มั่นใจจะมีเสียงส.ว.สนับสนุนให้เพียงพอจึงต้องการเสียงของก้าวไกลมาช่วยปิดสวิตซ์ส.ว.เนื่องจากส.ว.

2.เพื่อหาความชอบธรรมในการดึงพรรคสองลุงมาร่วมรัฐบาล หากก้าวไกลปฏิเสธ