เลขาฯ กกต. ยันพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จัดการเลือกตั้งตามกำหนดวัน ไม่มีผลกระทบแม้มีเหตุปะทะ-กฎอัยการศึก กกต.พร้อมอำนวยความสะดวก พร้อมจัดเลือกตั้งคู่ประชามติได้ เตือน หาเสียงแก้รธน.ได้แต่ห้ามชี้นำ
นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยถึงการจัดการเลือกตั้งตามพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยอมรับว่าสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาย่อมกระทบต่อการความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ยืนยันไม่กระทบกับการจัดการเลือกตั้ง กกต. มีวิธีการบริหาร เราอยากให้การเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดวัน จึงจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วยในการแก้ปัญหา แต่ยืนยันว่ากกต. เตรียมความพร้อมเพื่ออำนวยความสะดวกอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงในกรณีบางพื้นที่ชายแดนที่มีการประกาศกฎอัยการศึกจะต้องมีการบริหารจัดการอย่างไรนายแสวงกล่าวว่า เรามีแผนอยู่แล้ว ถ้าเป็นกฎอัยการศึก ต้องมาดูสาระสำคัญของกฎอัยการศึก มั่นใจว่าไม่กระทบกับการเลือกตั้งแม้ว่าวันเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีเหตุประทะกันเกิดขึ้นก็ตาม เพราะเราบริหารภายใต้สถานการณ์พิเศษตามที่กฎหมายให้อำนาจเรา เราทำน้อยกว่ากฎหมายไม่ได้
เมื่อถามว่าสามารถนำหน่วยเลือกตั้งไปการเลือกตั้งที่ศูนย์อพยพได้ นายแสวง กล่าวว่าตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่ก็มีวิธีการเอาหน่วยเลือกตั้งไปหาคนและเอาคนไปหาหน่วยเลือกตั้งอยู่แล้ว ย้ำว่ามีทางออก
เลขากกต. กล่าวถึง การทำประชามติ ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการส่งเหตุผลความจำเป็น ขั้นตอน งบประมาณ ประโยชน์ และข้อดีข้อเสียของการทำประชามติมาให้กกต. แล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มแบบ 100% ต้องรออีก 15 วันตามกฎหมาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ประกาศวันออกเสียงประชามติ ส่วนจะตรงกับวันเลือกตั้งหรือไม่อยู่ที่ ครม. เป็นผู้กำหนดไม่ใช่กกต.
หากดูจากระเบียบแล้ว สามารถจัดพร้อมกับการเลือกตั้งได้ คือ ถ้าการจัดทำประชามติ เดี่ยว ๆ เลย ไม่ต้องคำนึงถึงวันเลือกตั้ง เวลาก็จะอยู่ในกรอบ 90 - 120 วัน แต่ถ้าจะทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้ง ต้องไม่น้อยกว่า 60 วันและไม่เกิน 150 วัน หากมองในแง่กรอบเวลา การทำประชามติกับการเลือกตั้งก็ไม่สามารถลงในวันเดียวกันได้ แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น ในมาตรา 11 วรรค 3 ตาม พ.ร.บ.ประชามติฯ ระบุไว้ว่าเว้นแต่ครม.อาจจะเห็นต่างจากเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อประหยัดงบประมาณหรือมีเหตุจำเป็นอื่น ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับครม. ที่จะต้องกำหนดว่าเป็นวันไหน แต่สิ่งที่กฎหมายกำหนดว่าต้องหารือกับ กกต. ก็ได้มาหารือแล้วว่าถ้าเวลาแบบนี้ กกต.ทำงานทันหรือไม่ ในการเผยแพร่เอกสาร และการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเราให้ข้อมูลไปแล้ว นายแสวง กล่าวต่อว่า เราพร้อมจัดการเลือกตั้งพร้อมกับทำประชามติ ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลตนไม่สามารถตอบแทนได้ แต่หากจัดพร้อมกันได้ก็ถือเป็นการประหยัดงบประมาณได้
เมื่อถามว่า การทำประชามติกับการหาเสียงเป็นกิจกรรมที่คร่อมกันอยู่หรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า การหาเสียงคือการหาคะแนนนิยม ให้ประชาชนเลือกพรรคตนเอง หรือเลือกผู้สมัครในเขตนั้นๆ ส่วนการทำประชามติ คือการให้สาระสำคัญกับประชาชน ว่าจะเห็นชอบหรือไม่ในประเด็นที่ให้ออกเสียงประชามติ เป็นการให้ข้อมูลและความรู้ โดยผู้ที่ต้องการทำประชามติ จะต้องทำข้อมูลมาให้กกต. ซึ่งขณะนี้ก็ได้ส่งมาแล้ว ข้อมูลนี้ กกต. ไม่ได้ผลิตเองแต่เป็นผู้เผยแพร่ให้ทุกครัวเรือน ส่วนการแสดงความคิดเห็นว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อถามว่าพรรคการเมืองสามารถหาเสียงพร้อมกับนำเสนอเรื่องประชามติได้หรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า ทำได้ ซึ่งการหาเสียง เป็นการเสนอแนวทางหรือนโยบาย พรรคเสนอได้ทั้งนั้น แต่ถ้าขึ้นเวทีประชามติ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ต้องพูดเฉพาะเนื้อหา ไม่สามารถสอดแทรกการหาเสียงได้ และข้อมูลที่ส่งให้ประชาชนต้องเป็นกลางไม่มีการชี้นำ ซึ่งเราต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างทัดเทียมกัน ถ้าประชามติเกิดจากรัฐสภา รัฐสภาจะเป็นคนทำเอกสารมาให้ กกต. ข้อมูลตรงนี้จะชี้นำไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่เป็นข้อมูลที่จะบอกข้อดีข้อเสียของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายแสวง กล่าวต่อว่า หากเป็นการหาเสียงสามารถนำเอาไปเป็นประธานมติไปหาเสียงได้ ไม่มีความผิด แต่ถ้าเป็นเวทีของการแสดงความคิดเห็น ทั้งสื่อของรัฐและเอกชน จะต้องเกิดความเท่าเทียมกัน เรื่องนี้อาจจะสับสนเพราะมี 2 เรื่องบังคับใช้ไปพร้อมกัน สำนักงานก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้กับสื่อและประชาชนด้วย
เมื่อถามย้ำว่าในเวทีปราศรัยของพรรคการเมือง สามารถบอกได้หรือไม่ว่าการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ควรเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย นายแสวง กล่าวว่า พรรคการเมืองสามารถบอกได้ว่าอยากแก้หรือไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญในการหาเสียง แต่บนเวทีแสดงความเห็นเกี่ยวกับประชามติ ต้องมีทั้งฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบโดยมีการลงทะเบียน หากพรรคอยากพูดก็ต้องไปลงทะเบียนเพื่อขึ้นพูด เป็นคนละเวที คนละกระบวนการกัน ใช้กฎหมายคนละฉบับ แต่ผู้พูดอาจจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันก็ได้
เมื่อถามว่าหากพรรคการเมืองจะนำไปทำมติไปหาเสียงมีขอบเขตอย่างไรบ้าง นายแสวง กล่าวว่า ต้องเสนอเป็นนโยบาย เช่น มีนโยบายการแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ไม่ใช่ไปเสนอว่าควรเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในประเด็นประชามติ
"เมื่อลองมองย้อนไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ในการหาเสียง มีแค่แก้กับไม่แก้ มันไม่ผิดกฎหมาย คือประชาชนอยากให้แก้หรือไม่ให้แก้อยู่ที่ประชาชน พรรคเสนอไปประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือก แต่ถ้าไปรณรงค์ให้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นการข้ามไปกฎหมายประชามติแล้ว ซึ่งครั้งที่แล้วมีบางพรรคเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าเป็นการตั้งเวทีรณรงค์ เพื่อให้มีการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แบบนี้เป็นกฎหมายประชามติ ซึ่งคุณต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายประชามติ ต้องระมัดระวังในส่วนนี้" นายแสวง กล่าว
นายแสวงยังกล่าวต่อว่าพรรคต้องคำนึงถึงกรอบกฎหมายเลือกตั้ง สามารถเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ถ้าไปพูดว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ไปรณรงค์ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้
"พรรคต้องระวัง ผู้สมัครก็ต้องดู ว่าตอนนี้กำลังพูด ในเวทีของกรอบกฎหมายเลือกตั้ง หรือกฎหมายประชามติ ถ้าคุณพูดในกรอบกฎหมาย ประชามติต้องลงทะเบียนว่าเป็นฝ่ายเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเพื่อจัดเวทีพูด หาเสียงได้แบบไหนก็ได้ ส.ส หาเสียงแบบไหนก็ได้ แต่อย่าไปรณรงค์ว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เพราะจะข้ามไปกฎหมายประจำมติ" นายแสวง กล่าว
โดยการจัดเวทีแสดงความคิดเห็น อาจจะเป็นสถานีโทรทัศน์ก็ได้ แต่ต้องให้ฝ่ายเห็นชอบและไม่เห็นชอบมาพูด ไม่ใช่เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาพูด มันมีกฎหมายบังคับอยู่
ส่วนเรื่องของงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งพร้อมกับการลงประชามติ นายแสวงยืนยันว่าสามารถลดงบได้จริง เพราะหากจัดคนละครั้ง ก็จะใช้งบประมาณ เป็น 2 เท่า คือประมาณ 10,000 กว่าล้าน แต่หากจัดพร้อมกัน จะใช้งบประมาณ 8,000 ล้าน