“ภราดร” กางไทม์ไลน์ ประชามติแก้รธน.ต้องจบก่อนปีใหม่ 

“ภราดร” กางไทม์ไลน์ ประชามติแก้รธน.ต้องจบก่อนปีใหม่ 
“ภราดร” กางไทม์ไลน์ ประชามติแก้รธน. ต้องจบก่อนปีใหม่ ครม.ต้องส่งกกต.ตั้งเรื่องไม่เกิน 15 ม.ค. สวนพท. วิจารณ์สูตร  20 หยิบ 1 บอก “อะไรก็ไม่ดีไปหมด“  ยันรัฐบาลพร้อมชี้แจงหากฝ่ายค้านยื่นอภิปราย

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเปิดวันใดว่า การจะเปิดวันใดอยู่ที่กรรมาธิการว่าจะพิจารณาเสร็จเมื่อใด หากเสร็จภายในต้นเดือนธ.ค. ก็สามารถเปิดประชุมสมัยวิสามัญได้ ก่อนเปิดสมัยประชุมสามัญวันที่ 12 ธ.ค. ตนดูไทม์ไลน์คร่าวๆและได้หารือกับคณะกรรมาธิการแล้วว่าการโหวตวาระ 3 ต้องแล้วเสร็จก่อนช่วงปีใหม่ หมายความว่าหากเปิดสมัยประชุมวิสามัญวันที่ 9-11 ธ.ค. ยังสามารถลงมติวาระ 3 ก่อนช่วงปีใหม่ได้อยู่ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ยืนยันว่าพร้อมเปิดประชุมสมัยวิสามัญให้ อย่างไรก็ตามขณะนี้การพิจารณาของกรรมาธิการเดินหน้าไปได้พอสมควรแล้ว ในมาตรา256/1 ที่เป็นหัวใจของการแก้รัฐธรรมนูญได้ผ่านมติเสียงข้างมากแล้ว ส่วนมาตราอื่นคงใช้เวลาไม่มากคงเดินหน้าได้เร็วมากขึ้น คาดว่าภายในเดือน พ.ย. น่าจะแล้วเสร็จ แต่หากไม่แล้วเสร็จก็น่าจะเสร็จต้นเดือนธ.ค. 

เมื่อถามว่าการตั้งคำถามประชามติจะเริ่มดำเนินการเมื่อใด นายภราดร กล่าวว่า เรามองว่าการตั้งคำถามประชามติควรเริ่มต้นจากรัฐสภาตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หลังการลงมติวาระ 3 ต้องมีญัตติจากรัฐสภาว่าจะมีคำถามที่ 1 อย่างไร ส่วนคำถามที่ 2 ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256(8) เพราะการแก้ไขครั้งนี้เราได้เพิ่มหมวด 15/1 เข้าไปที่ต้องให้มีการทำประชามติ และรัฐสภาต้องมีมติเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อไปทำคำถามประชามติร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อถามว่ากระบวนการนี้จะเดินหน้าไปถึงเดือน ม.ค.ใช่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า “อยู่แล้ว เพราะจากไทม์ไลน์ลงมติวาระ 3 ช่วงก่อนปีใหม่ หลังเปิดปีใหม่จะส่งเรื่องมาที่ครม.แล้วหลังจากนั้นอีก 2-3 วันก็จะประชุมครม.เพื่อมีมติให้ทำประชามติแล้วส่งเรื่องไปที่ กกต. ช้าที่สุดไม่เกินกลางเดือน ม.ค.” 

เมื่อถามว่าการทำประชามติจะทันไทม์ไลน์ของกกต.ที่ขอเวลาเตรียมความพร้อมไว้ 75 วันหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเลขาธิการ กกต. แจ้งแล้วว่าขอเวลา 75 วันโดยย้อนจากวันที่ 29 มี.ค. 2569 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 15 ม.ค.2569 ครม.จำเป็นต้องมีมติภายในวันดังกล่าวเพื่อส่งให้กับกกต. 

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่พรรคเพื่อไทยโจมตีว่าสูตร 20 หยิบ 1 จะทำให้เกิดการล็อกสเปกคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ นายภราดร กล่าวว่า อะไรก็ไม่ดีไปหมดหรอก จริงๆสูตรนี้ได้มีการหารือกันนอกรอบ ตนได้อภิปรายเรื่องนี้ตามร่างของพรรคภูมิใจไทยมาตั้งแต่วาระ 1 แต่พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนมองว่าจะทำให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นสีใดสีหนึ่ง ตนเลยยอมถอยแล้วใช้สูตรของพรรคประชาชน ในวันนั้นพรรคเพื่อไทยก็บอกว่าแบบนี้ก็พูดคุยกันได้ แล้วพยายามทำทุกอย่างให้การแก้รัฐธรรมนูญเดินต่อได้ 

เมื่อถามว่าหากใช้สูตรนี้ต้องไปดูหลังการเลือกตั้งใช่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่ผลการเลือกตั้ง ทุกพรรคการเมืองต้องไปรณรงค์กับประชาชนเพื่อให้ได้สส.มามากที่สุดเพื่อหยิบกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ให้ได้มากที่สุด จึงอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเลือกสส. แต่เป็นการเลือกเพื่อให้หยิบ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญด้วย เมื่อถามว่าคุณสมบัติคนจะมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญจะกำหนดอย่างไร คนโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองสามารถเป็นได้หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า อยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

นายภราดร กล่าวถึง การเตรียมพร้อมรับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ต้องรอดูว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ ถ้ายื่นก็เชื่อว่าทุกคนในคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมที่จะชี้แจง ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย.นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาท้าทายฝ่ายค้านให้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 152 คือการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติ นายภราดร กล่าวว่า นายโสภณพูดที่พรรคในนามส่วนตัว ซึ่งพูดชัดว่าเป็นการพูดในนามของลูกพรคภูมิใจไทย แต่ในส่วนของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีได้มีการออกแถลงการณ์ไปแล้วว่าพร้อมที่จะให้ฝ่ายนิติบัญญัติเดินหน้าสู่กระบวนการตรวจสอบและพร้อมที่จะชี้แจงในทุกประเด็น 

เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันหรือไม่ว่ายังคงเป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ (MOA) ในประเด็นเรื่องการยุบสภาวันที่ 31 ม.ค.69 นายภราดร กล่าวว่า ไทม์ไลน์ยังเหมือนเดิม เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านขอเปิดตามมาตรา 151 ในขณะที่รัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อย ประเด็นนี้รัฐบาลทำใจแล้วใช่หรือไม่ว่าถึงอย่างไรก็คงจะแพ้ นายภราดร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีประกาศตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีแค่ 140 กว่าเสียง เพราะฉะนั้นในส่วนของงานสภาไม่ว่าจะเป็นญัตติใดถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาก็คงไม่สามารถชนะโหวตได้ รวมถึงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ดังนั้นเมื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจโอกาสที่จะพลิกชนะเสียงไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านมันเป็นไปไม่ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าการจะไม่ไว้วางใจนั้นต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดคือ 250 เสียงถึงจะล้มรัฐบาลได้ ซึ่งต้องไปดูในช่วงนั้นว่าจะมีเสียงลงมติมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือไม่ กรณีนี้หมายถึงถ้าฝ่ายค้านยื่นอภิปรายจริง

เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าพรรคประชาชน ที่ทำ MOA กับรัฐบาลยังคงอุ้มรัฐบาลต่อไป นายภราดร กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าพรรคประชาชนมีความคิดเห็นแบบไหนอย่างไร ซึ่งเป็นสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละท่าน แต่ตนเชื่อว่าถ้ามีการยื่นอภิปรายตามมาตรา 151 ซึ่งรัฐบาลเองเพิ่งจะทำงานมาได้ 47 วัน ตนเชื่อว่ายังไม่มีเรื่องทุจริตหรือคอรัปชันอย่างแน่นอน เมื่อถามว่าฝ่ายค้านพุ่งเป้าประเด็นมีนักการเมืองสีเทาร่วมรัฐบาลอยู่ นายภราดร กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้านที่จะเห็นอย่างไร ก็ไปอภิปรายในสภากัน ซึ่งขณะเดียวกันนอกจากอภิปรายกล่าวหาแล้วในส่วนของครม.ก็มีสิทธิ์ที่จะชี้แจง โดยท้ายที่สุดแล้วคนที่ตัดสินคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  500 คนและประชาชนที่ฟังอยู่ทางบ้านที่จะตัดสินหลังจากฟังการอภิปรายทั้งจากฝ่ายที่กล่าวหาและฝ่ายชี้แจง

เมื่อถามว่ามีคนจับตาว่าจะมีเสียงจากฝ่ายค้านอื่นที่ไม่ใช่พรรคประชาชนมาช่วยยกมือโหวตให้รัฐบาล นายภราดร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการยื่นญัตติอภิปรายเลย อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องการลงมติ ให้มีญัตติก่อนแล้วค่อยว่ากัน

TAGS: #ภราดร #แก้รธน #ประชามติ #กกต