“เพื่อไทย” อัดรัฐบาล คำพูดไร้วุฒิภาวะ ทำเสียพันธมิตร หลัง สหรัฐฯ ระงับการเจรจาภาษีการค้า ทำประเทศเสี่ยงทั้งอธิปไตยและเศรษฐกิจ กว่า 3 ล้านล้านต่อปี ประชาชนหลายสิบล้านคนจะได้รับผลกระทบ
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาแจ้งขอระงับการเจรจาภาษีการค้ากับไทยชั่วคราว หลังรอคำยืนยันเรื่องการกลับเข้าสู่ Joint Declaration (MOU ร่วม) ไทย-กัมพูชาอีกครั้ง โดยระบุว่าการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันทำให้ประเทศเสียหายจนประเมินไม่ได้ ทั้งในด้านอธิปไตยและด้านเศรษฐกิจ
โฆษกพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า ไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย รวมถึงสิทธิในการตอบโต้เมื่อถูกรุกล้ำ และรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยในอดีตได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถตอบโต้ผู้รุกล้ำอธิปไตยได้ โดยได้แสดงแสนยานุภาพจนเป็นที่ประจักษ์ พร้อมปฏิเสธข่าวลือข่าวปลอมที่ว่ามีการสั่งให้หยุดการตอบโต้
นายศึกษิษฏ์กล่าวว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พรรคเพื่อไทยยังได้เดินหน้า "การทูตเชิงรุก" ผ่านทั้งกลไกทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอธิปไตยและเศรษฐกิจ จนทำให้นานาประเทศทั่วโลกหันมาฟังและพร้อมที่จะสนับสนุนไทย โดยใช้ยุทธศาสตร์ "เอาโลกมาล้อมคู่กรณี"
โฆษกพรรคเพื่อไทยเปรียบเทียบว่า การบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่คำพูดที่สับสน ไม่มีวุฒิภาวะ ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศ หรือบางคำอาจจะนำไปสู่การเสียดินแดน ทั้งยังผลักพันธมิตรออกห่าง ไม่เดินการทูตเชิงรุกจนไทยเสียพันธมิตรทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
พรรคเพื่อไทยได้เสนอแนะรัฐบาลตั้งแต่แรกให้รีบทำงานเชิงรุกผ่านประเทศมหาอำนาจ โดยให้เร่งพูดคุยกับอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันและสักขีพยานในปฏิญญาสันติภาพ และใช้กรอบกลไกนานาชาตินำข้อมูลของประเทศออกไปแสดงให้โลกรู้ว่า กัมพูชาเป็นคนฉีกกติกา และใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมกดดันกัมพูชา เหมือนที่เคยทำมา
นายศึกษิษฏ์ระบุว่า ผลลัพธ์จากการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศอยู่ในจุดที่ "กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก" นอกจากเผชิญหน้ากัมพูชาแล้ว ยังต้องเจอกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ อีกด้วย ทั้งที่สามารถรับมือสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ โดยชี้ว่าแม้จะไม่พอใจท่าทีของสหรัฐฯ แต่ข้อเท็จจริงคือมูลค่าการค้าขายกว่า 3 ล้านล้านบาท จะกระทบต่อพี่น้องประชาชนจำนวนหลายสิบล้านคน อีกทั้งยังส่งผลกระทบถึงความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ติดค้างอยู่ด้วย
สุดท้าย โฆษกพรรคเพื่อไทยตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า สิ่งที่ได้กระทำนี้ นับเป็นความผิดพลาดเพียงพอที่จะไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปหรือไม่