"สุวิทย์" ผ่า Deep State แบบใหม่! ขบวนการ Scammer คือภัยมั่นคงศีลธรรมของรัฐไทย

อดีตรมว.อว. ชี้ "Scammer Network" ไม่ใช่อาชญากรรมดิจิทัลทั่วไป แต่คือ "สงครามศีลธรรม" ที่บั่นทอนศรัทธารัฐ เสนอโมเดล "Techno-Moral State" ขับเคลื่อนด้วยความกล้าทางศีลธรรมของผู้นำ

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า  “Deep State แบบใหม่”: ขบวนการ Scammer กับการทดสอบความกล้าทางศีลธรรมของผู้นำไทย

เมื่อเดือนตุลาคม 2025 รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ นำโดยประธานาธิบดี อี แจ-มย็อง ได้เปิดปฏิบัติการพิเศษเพื่อตามล่าขบวนการ Scammer Network ที่ตั้งฐานอยู่ในกัมพูชา หลังพบว่ามีชาวเกาหลีหลายร้อยคนถูกล่อลวงให้ไปทำงานใน “ศูนย์หลอกลวงออนไลน์” และบางรายเสียชีวิตจากการทรมานในค่ายควบคุมของเครือข่ายอาชญากรรม

รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่เพียงส่งหน่วยข่าวกรองและตำรวจพิเศษเข้าประสานกับรัฐบาลกัมพูชา แต่ยังประกาศ เขตห้ามเดินทางระดับ Code-Black, ตั้งศูนย์สอบสวนระดับชาติ และประกาศว่าการจัดการ Scammer ข้ามชาติคือ “ภารกิจความมั่นคงแห่งชาติ”

นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า “ผู้นำที่กล้าหาญ” ไม่มองปัญหา Scammer เป็นแค่เรื่องอาชญากรรมดิจิทัล แต่คือ “สงครามศีลธรรม” เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและความไว้วางใจของรัฐชาติ.

1. เมื่อความเทากลืนขาว — ศีลธรรมของรัฐเริ่มสั่นคลอน
ในประเทศไทย ขบวนการ Scammer ไม่ได้อยู่แค่ชายแดน แต่ฝังรากอยู่ใน เครือข่ายอำนาจเทา–ทุนเทา–ราชการเทา ที่ใช้เทคโนโลยีและอิทธิพลทางการเมืองเป็นเกราะกำบัง
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่การหลอกประชาชนผ่านมือถือ แต่คือ “การฟอกศีลธรรมของรัฐ” — เมื่อผู้มีอำนาจบางคนรู้เห็นแต่ไม่ลงมือ เมื่อหน่วยงานรัฐบางแห่งกลายเป็นพื้นที่พักเงินผิดกฎหมาย เมื่อประชาชนเริ่มไม่เชื่อว่ารัฐจะคุ้มครองคนดีได้
นี่ไม่ใช่เพียงอาชญากรรม แต่คือ ภัยความมั่นคงเชิงศีลธรรม (Moral Security Crisis) ที่ทำให้ความถูกต้องถูกลดทอนเหลือเพียงวาทกรรม

2. Deep State ยุคใหม่ — ไม่ได้อยู่ในกองทัพ แต่อยู่ในระบบราชการและการเมือง
ขบวนการ Scammer คือ “Deep State แบบใหม่” ที่บ่อนทำลายความมั่นคงจากภายในโดยใช้เทคโนโลยี ข้อมูล และเงินสกปรก
มันมีระบบบริหารของตัวเอง — มีทุน มีคน มีโครงข่าย และมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยอำนวยความสะดวก เมื่อเงินสกปรกไหลเข้าระบบเศรษฐกิจ ศรัทธาของประชาชนก็ไหลออกจากรัฐ
นี่คือการทำลายชาติอย่างเงียบงัน ที่อันตรายยิ่งกว่ารัฐประหาร

3. จาก Moral Courage สู่ Moral Governance
หากเราจะสู้สงครามนี้ได้ ต้องเปลี่ยนจาก “รัฐที่บริหารด้วยอำนาจ” เป็น “รัฐที่บริหารด้วยศีลธรรมเชิงระบบ” — หรือ Principled Governance Framework
กลไกสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
 1) Moral Intelligence Center (MIC) ศูนย์ข้อมูลกลางตรวจสอบทุนเทา ข้อมูลเทา และข้าราชการเทา โดยใช้เทคโนโลยี AI และ blockchain เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากตำรวจ ธนาคาร และหน่วยความมั่นคง
 2) Digital Border Taskforce ทีมปฏิบัติการข้ามหน่วย ปิดเส้นทางฟอกเงินและค่ายหลอกลวง ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในลักษณะ “ASEAN Moral Shield”
 3) National Trust Index ระบบวัดศรัทธาประชาชนต่อรัฐ เพื่อให้การเมืองต้องรับผิดชอบต่อระดับความไว้วางใจของสังคม
นี่คือการยกระดับรัฐไทยจาก “Reactive State” สู่ Principled Techno-Moral State
ที่ไม่เพียงปกป้องคนดี แต่สร้างระบบที่คนดีอยู่ได้โดยไม่ต้องกลัวคนเลว

4. Moral Leadership: พลังนำประเทศไทยออกจากกับดักเทา
Moral Leadership คือหัวใจของการปฏิรูปยุคนี้ ผู้นำที่แท้จริงต้องมี วิสัยทัศน์ (Visionary), คุณธรรม (Moral), และ ความกล้าในการลงมือ (Actionable Leadership)
เขาต้องกล้าชนกับผลประโยชน์ที่ตนเองเคยพึ่งพา กล้าฟื้นศักดิ์ศรีของหน่วยงานที่ถูกบิดเบือน และกล้าประกาศว่านี่คือสงครามแห่งศีลธรรม — ไม่ใช่แค่คดีอาชญากรรม
เพราะในยุคที่เทคโนโลยีเปิดทางให้ความชั่วร้ายข้ามพรมแดน สิ่งเดียวที่ปกป้องรัฐได้ คือ “ศีลธรรมที่มีกลไกและเป็นรูปธรรม”

5. จุดเปลี่ยนทางการเมือง
พรรคการเมืองใด หรือผู้นำใด ที่กล้าจัดการกับขบวนการ Scammer อย่างถึงราก จะไม่เพียงชนะใจประชาชน แต่จะ “ฟื้นศักดิ์ศรีรัฐไทย” กลับคืนมา
เพราะประชาชนไม่ได้ต้องการ Populism ที่ปลอบใจระยะสั้น แต่ต้องการ “Principled Politics” ที่รักษาประเทศระยะยาว
ถ้าพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคใดก็ตาม กล้าประกาศสงครามกับขบวนการนี้จริง — แบบไม่มีเทา ไม่มีอุ้ม ไม่มีต่อรอง จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย
แต่ถ้าทำไม่ได้…สิ่งที่สูญเสียจะไม่ใช่คะแนนเสียง — แต่คือ “เกียรติยศของรัฐไทย” ที่อาจไม่เหลือให้ฟื้นอีก

6. บทส่งท้าย: เรากำลังอยู่ใน Moral War 
ขบวนการ Scammer คือเงามืดของรัฐไทย แต่ในความมืดนั้น — ยังมีโอกาสที่จะฟื้น “แสงแห่งศีลธรรม” ขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะในสงครามระหว่างอำนาจกับศีลธรรม ความกล้าหาญ คืออาวุธเดียวที่ทำให้รัฐอยู่รอด

นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างรัฐกับประชาชน แต่คือสงครามที่ประชาชนอยากเห็นรัฐ “กลับมาเป็นของประชาชนอีกครั้ง” ภายใต้ผู้นำที่มีหัวใจแห่งศีลธรรม และความกล้าที่จะลงมือในสิ่งที่ถูกต้อง
 

TAGS: #สแกมเมอร์ #นายกรัฐมนตรี #อนุทินชาญวีรกูล #สุวิทย์เมษินทรีย์ #รัฐเทา