"พิธา" หวั่นคดี 44 สส.ซ้ำรอยยุบพรรคส้ม เตือน "อนุทิน" อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง ชี้ประชามติเลิก MOU ทำสภาหมดความหมาย

"พิธา" กังวลคดี 44 ส.ส.แก้ ม.112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ชี้แนวโน้ม ป.ป.ช. ชี้มูลช่วงยุบสภา เย้ย "ภูมิใจดูด" เคยแพ้มาแล้ว ฝาก "อนุทิน" เน้นบ้านเมือง" ชี้แผนประชามติยกเลิก MOU ทำสภาหมดความหมาย

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความกังวลต่อคดี 44 ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ร่วมเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยระบุว่า ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นอนุกรรมการ และมีแนวโน้มว่าจะมีความคืบหน้าและอาจมีการ “ชี้มูลความผิด” ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจตรงกับช่วงเวลาการยุบสภา

“มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการชี้มูลในช่วงยุบสภา ถ้าเลือกตั้งมีขึ้นช่วงมีนาคมหรือเมษายน พรรคประชาชนก็อาจถูกทำลายอีกครั้ง เหมือนที่เคยเกิดกับพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่” นายพิธากล่าว พร้อมย้ำว่าการใช้จริยธรรมทางการเมืองเป็นเครื่องมือทางอำนาจถือเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย

“เราควรมีตำรวจจริยธรรมได้ แต่ถ้าไม่มีใครตรวจสอบตำรวจจริยธรรม ก็อันตรายกับประชาธิปไตยมาก เพราะดาบที่ไม่มีใครถอดได้ มันสามารถฟาดกลับใส่ใครก็ได้”

นายพิธายืนยันว่า ตนไม่กังวลต่อผลของคดี เนื่องจากไม่ได้ดำรงตำแหน่งในพรรคแล้ว แต่ห่วงแกนนำพรรคประชาชนที่ยังมีความเสี่ยง และตั้งคำถามต่อสังคมว่า “ทำไมข่าวคดีนี้ถึงโผล่มาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครให้ข่าว หรือจงใจทำลายความเชื่อมั่นของพรรคประชาชน พรรคที่ 3 ในกระบวนการของประชาธิปไตยไทยอย่างมีนัยสำคัญ”

พร้อมให้กำลังใจนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ว่าอย่าเสียขวัญและให้ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย “การต่อสู้ทางการเมืองต้องอาศัยความเชื่อมั่น ไม่ใช่ความกลัว”

ต่อมา ในช่วงให้สัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายพิธายังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองโดยรวมว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ภายใต้ “นายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ” ที่ต้องบาลานซ์ระหว่างการบริหารประเทศและการตอบแทนแรงสนับสนุนทางการเมือง พร้อมเตือนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ว่า “อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง”

“ผมอยากให้ท่านนายกฯ เน้นเรื่องบ้านเมืองมากกว่าการเมือง เพราะวันนี้มีโจทย์ใหญ่ทั้งเศรษฐกิจ การต่างประเทศ และนิติรัฐที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของประเทศ”

นายพิธายังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาชนถูกมองว่าเป็น “ฝ่ายค้ำรัฐบาล” โดยยืนยันว่าไม่จริง และชี้ว่าการพิสูจน์ตัวเองคือการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น “ผมเห็นหัวหน้าพรรคประชาชนอภิปรายตรวจสอบรัฐบาลได้ดี เพียงแต่ต้องเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทำตามคำพูด เพราะสโลแกนของพรรคภูมิใจไทยคือ ‘พูดแล้วทำ’ ถ้าพลิกไปมาก แบรนดิ้งของพรรคก็อาจไม่เหลือในเลือกตั้งหน้า”

เขายังแนะพรรคประชาชนให้โฟกัสการพัฒนา “คุณภาพทางการเมือง” มากกว่าการตั้งเป้าที่จำนวน ส.ส. โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคอีสานที่ยังมีศักยภาพสูง “อย่ามัวสนใจโพลหรือสถิติ ให้หายุทธศาสตร์ หาแคนดิเดตที่แข็งแรง และสื่อสารให้ชัด”

ทั้งนี้ นายพิธาได้กล่าวเชิงแซวถึงนายอนุทินว่า “ซักผ้าเสร็จแล้ว กลับมาตอบคำถามสื่อด้วยนะครับ”

ขณะเดียวกัน นายพิธายังแสดงความเห็นต่อแผนรัฐบาลที่เตรียมจัดประชามติยกเลิกข้อตกลง MOU 43–44 ไทย–กัมพูชา โดยตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงไม่ใช้กลไกรัฐสภาในการพิจารณา และเตือนว่าหากรัฐบาลเลือกใช้ประชามติทุกเรื่อง “รัฐสภาจะหมดความหมาย”

“รัฐบาลต้องกำหนดให้ชัดว่าเรื่องใดใช้กลไกรัฐสภา เรื่องใดควรใช้ประชามติ ไม่เช่นนั้นก็จะลักลั่นกันตลอดไป” นายพิธากล่าว พร้อมแนะนำให้รัฐบาลวางจุดยืนของไทยในเวทีอาเซียนบนหลักอธิปไตยและมนุษยธรรม “อย่าปล่อยให้ต่างประเทศมาชักจูง”

เขาทิ้งท้ายว่า ไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวจากผลประโยชน์ของชาติเอง ไม่ใช่จากแรงกดดันของมหาอำนาจ เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและเป็นธรรมต่อประชาชนทุกฝ่าย
 

TAGS: #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #หัวหน้าพรรคก้าวไกล #คดี44สส #ยุบพรรค #ภูมิใจไทย #อนุทิน #ประชามติเลิกMOU