"รังสิมันต์ โรม" เปิดหลักฐานโยง "เบน สมิธ" เครือข่ายฟอกเงินกัมพูชา สนิทนักการเมืองไทย เตือนนายกฯ ต้องเอาจริงกับสแกมเมอร์ข้ามชาติ อย่าซ้ำรอยรัฐบาลเดิม ชี้คิดผิดหากจะฝากความหวังกับทหารแก้ปัญหชายแดน
รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายนโยบายรัฐบาล โดยระบุถึงสถานการณ์สแกมเมอร์ในประเทศไทยช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ที่เลวร้ายลงกว่าเดิม และมีการประเมินว่า รายได้จากสแกมเมอร์ในกัมพูชา คิดเป็น 60% ของ GDP ประเทศกัมพูชา รวมถึงมีข้อสังเกตว่า ฐานทัพของสแกมเมอร์ส่วนใหญ่อยู่ชายแดนประเทศไทยเพราะต้องพึ่งทรัพยากร และมีตัวละครสำคัญๆ เช่น ก๊กอาน ที่มีความก้าวหน้าในการติดตามกรณีนี้ แต่กลับหยุดชะงักลง
รังสิมันต์ยังกล่าวถึง ลี ยง พัด ซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ราชาแห่งเกาะกง’ หรือ เสี่ยพัด มีสัญชาติไทย-กัมชา เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม LYP และไอร์เสม็ดรีสอร์ท ทางการสหรัฐอเมริกาได้ประกาศคว่ำบาตร และยังเป็นประธานสมาคมออกญาแห่งกัมพูชา แต่กลับถูกเพิกเฉยจากตำรวจ รวมถึงไม่มีความคืบหน้าในการยึดทรัพย์ใดๆ ต่อมารังสิมันต์ยังกล่าวถึง ฮุน โต ลูกพี่ลูกน้องของ ฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ได้รับการปกป้องจากรัฐให้ปลอดภัย
รังสิมันต์ยังกล่าวถึง ยิม เลียก ประธาน BIC Bank ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งฟอกเงินที่มีทั้งคนไทยและกัมพูชาใช้บริการ ซ้ำยังมีพี่สาวเป็นลูกสะใภ้ของ สมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับ เบน สมิธ หรือชื่อเดิม เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ชาวแอฟริกา มีประวัติทำธุรกิจหลอกลวง และเป็นหุ้นส่วนร่วมทำธุรกิจเปิดสาขาธนาคาร BIC และแนะนำ ยิม เลียก ให้ใช้ธนาคารเป็นแหล่งฟอกเงิน โดยเฉพาะในเมือง ลองเบย์ ดาราสาคร ที่มี Yatay Group ของ เสอ จื้อ เจียง ร่วมลงทุน
“ธนาคาร BIC มักมีผู้ทรงอิทธิพล นำทรัพย์สินไปฝากเอาไว้ นักการเมืองบางคน หรือ สว. ที่มีลักษณะทรงเอ เข้าใจว่าไม่ใช่ชุดนี้ ก็มีทรัพย์สินที่นั่น ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจ BIC ถูกโจมตีว่าเป็นสวรรค์แห่งการฟอกเงิน โดย BIC Group ก็มีสาขาอยู่ที่ประเทศไทย ในอาคารเกสรนี่เอง” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์เผยว่า เบน สมิธ ยังปรากฏชื่อเป็นที่ปรึกษาของ สมเด็จฯ ฮุน เซน และมีเหตุการณ์เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้พบกับนายกรัฐมนตรีที่เกาะหลีเป๊ะ ซึ่งปรากฏตัวพร้อมกับ เบน สมิธ รวมถึง ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วย พวกท่านไม่รู้หรือว่า บุคคลเหล่านี้มีประวัติสแกมเมอร์ ซึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน ร.อ. ธรรมนัส และ เบน สมิธ ได้ทำบุญร่วมกันที่วัดดงช้างดี จังหวัดอุตรดิตถ์ และอีกงานหนึ่งก่อนหน้าที่วัดดวงแข กรุงเทพฯ ที่มี นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปรากฏตัวอยู่ด้วย
ในช่วงที่กล่าวถึงประเด็นนี้ รังสิมันต์ได้เปิดภาพในที่ประชุมรัฐสภา บุคคลที่ใบหน้าคล้าย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดดำปิดดวงตาไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า เบน สมิธ พยายามเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย จนถึงขั้นที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาไทย แต่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เคยชี้แจงว่า ไม่ได้เซ็นอนุมัติ เพราะเอกสารไม่ครบ แต่รับปากกับรัฐสภาได้หรือไม่ ว่าแม้เอกสารจะครบ ก็จะไม่เซ็นให้สัญชาติกับใครก็ตามที่เกี่ยวกับแก๊งสแกมเมอร์
รังสิมันต์ยังได้หยิบยกเรื่องเรือยอร์ช 6 ลำ ที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยใช้เดินทางไปเกาะหลีเป๊ะ รวมถึงเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว รุ่น Bombardier Global 7500 ที่ใช้บินไปดูไบ ทั้งหมดนี้ล้วนถูกจัดหาโดย เบน สมิธ ซึ่งตนเองหวังว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล่า เพราะหากเป็นเรื่องจริง ก็แปลว่า เงินจากการค้ามนุษย์ จากสแกมเมอร์ในกัมพูชา ได้แปรสภาพเป็นของขวัญสุดหรูเพื่อสร้างอิทธิพล จึงขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบเรื่องนี้ ปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ในการประชุมหารือเพื่อผลักดันเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ก็มี เบน สมิธ ร่วมประชุมอยู่กับอดีตนายกรัฐมนตรีด้วย นั่นเท่ากับเป็นวิธีการนำเงินผิดกฎหมายจากกัมพูชา นำเงินมาฟอกให้ถูกกฎหมายผ่านคาสิโนในประเทศไทย ซึ่งจะทำร้ายภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างร้ายแรง
“จำได้ไหมที่ผมบอกว่า รายได้หลัก 60% ของ GDP ของกัมพูชามาจากการหลอกลวง ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะมีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่มีวันจะกระทบต่อธุรกิจหลักของกัมพูชาอยู่แล้ว นอกจากประเทศไทยต้องการจะเป็นฐานสแกมเมอร์แห่งใหม่แข่งกับกัมพูชา ซึ่งผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลที่แล้วจะเลวร้ายถึงขนาดนั้น” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์คาดหวังว่า ในช่วงเวลา 4 เดือน นายกรัฐมนตรีจะเอาจริงต่อปัญหานี้ อย่าให้เหมือนรอบที่แล้วเมื่อท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กว่าจะปราบได้ก็ใช้เวลามากมายเสียเหลือเกิน พร้อมเสนอแนวทางปราบปรามสแกมเมอร์ ดังนี้
1. ตั้งศูนย์ประสานงานต่อต้านสแกมเมอร์ข้ามชาติ รวมหน่วยงานทั้ง DSI ก.ล.ต. ธปท. ปปง. กต. และอัยการสูงสุด ทำงานเชิงรุกประสานงานกับต่างชาติ แลกเปลี่ยนข้อมูล
2. ให้ DSI ตร. ปป. สอบเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับ เบน สมิธ ทั้ง ลี ยง พัด และ ยิม เลียก ทำลายเครือข่ายการเงินและเอเยนต์ ซึ่งตนเองมีพยานปากเอกคือ ร.อ. ธรรมนัส เชื่อว่าให้การเป็นประโยชน์
3. ให้ ก.ล.ต. วางกฎเกณฑ์ Travel Rule มีผลกับสกุลเงินคริปโต เพื่อป้องกันการฟอกเงิน
4. ให้ กต. ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กไก ICC พากัมพูชาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต่อไปเป็นข้อเสนอในการแก้ปัญหาชายแดน รังสิมันต์ระบุว่า กัมพูชามีรายได้มากมายจากการหลอกคนทั่วโลก ผู้มีอำนาจในกัมพูชาไม่ต้องสนใจว่าการค้าและธุรกิจของประเทศไทยเป็นอย่างไร ตราบใดที่ตัวเลขจากสแกมเมอร์ยังเพิ่มขึ้น ความสำคัญของการค้าปกติก็จะน้อยลง ถ้านายกรัฐมนตรีจะฝากความหวังไว้กับทหารอย่างเดียว ท่านคิดผิด และจะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาด ทั้งนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม และทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาชายแดน อย่าผิดพลาดเหมือนรัฐบาลที่แล้ว เชื่อว่าแก้ปัญหาชายแดนได้ หากรายได้จากสแกมเมอร์ของกัมพูชาลดลง อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น
ส่วนข้อเสนอที่ 3 เรื่อง MOU ไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลจะทำประชามติยกเลิกหรือไม่ ฟังเหมือนจะดี แต่ต้องไม่ลืมว่าเกี่ยวพันกับหลายเรื่องที่สลับซับซ้อนต้องพิจารณา ที่ผ่านมาที่ประชุมรัฐสภาเคยหารือเรื่องนี้ในการประชุมลับ แล้วเราจะเปิดเผยให้ประชาชนคนไทยรับทราบข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจเรื่อง MOU อย่างไร โดยไม่ให้กัมพูชาล่วงรู้ ถ้ารัฐบาลจะให้ประชาชนตัดสินใจในเรื่องสลับซับซ้อนเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างเพียงพอ
นายกรัฐมนตรีต้องคิดต่อด้วยว่า หากมีการยกเลิก MOU แล้ว ก็ต้องเตรียมความพร้อมทุกฉากทัศน์ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การเจรจาเรื่องเขตแดน และหากยกเลิก MOU43 กัมพูชาอาจจะอ้างว่า กลไกทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชาไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงต้องไปศาลโลก รัฐบาลต้องคิดและเตรียมการไว้ตั้งแต่วันนี้เลยขณะที่เรื่องชายแดนทางทะเล ตัวอย่างบริษัททุนข้ามชาติจะฟ้องไทยในอนุญาโตตุลาการหรือไม่ หากไทยยกเลิก MOU44 รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ เพราะจะเสี่ยงทำให้ไทยต้องเสียค่าชดใช้นับหมื่นล้านด้วยภาษีของประชาชน
“ผมเองให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติไทยสูงสุด การยกเลิก MOU ถ้าจะทำ ก็ต้องแน่ใจว่าเราได้อะไรกลับคืน และต้องดูว่าสุดท้ายแนวทางใดคุ้มกว่ากัน บางทีการปรับปรุง MOU ทั้ง 2 ฉบับ ท่ีตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติสูงสุด อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งก็ได้”
รังสิมันต์ทิ้งท้ายโดยเตือนความจำนายกรัฐมนตรี ให้เห็นตัวอย่างจากรัฐบาลที่แล้ว ว่าผลกระทบของการมีผลประโยชน์ทับซ้อน และการขาดเจตจำนงทางการเมืองในงานความมั่นคง ส่งผลต่อชาติอย่างไร ตนเองยืนยันว่า ต้องการเห็นการถอนอาวุธหนัก การร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์ นี่เป็นหนทางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของ 2 ประเทศ และคืนความปกติตามพื้นที่แนวชายแดน เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องอื่นๆ ต่อไป