สภาฯ วุ่น! "ไชยา" สั่งปิดประชุมกะทันหัน ทำญัตติด่วน ภท. ตั้ง กมธ. ยกเลิก MOU 43-44 ถูกพับ พปชร. - ภท.จี้รัฐบาลยกเลิก ชี้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา เสนอใช้กฎหมายสากลและหลักฐานประวัติศาสตร์ปกป้องอธิปไตย
บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปอย่างวุ่นวาย หลังจากนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้สั่งปิดประชุมทันทีภายหลังเสร็จสิ้นการรับรายงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
การปิดประชุมอย่างกะทันหันครั้งนี้ ส่งผลให้ที่ประชุมไม่สามารถพิจารณาญัตติด่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 หรือที่เรียกว่า MOU 43-44 ได้
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกบางส่วนที่เห็นว่าการสั่งปิดประชุมโดยไม่เปิดโอกาสให้พิจารณาญัตติด่วน อาจกระทบต่อการทำงานของสภาฯ และประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ
พปชร. - ภท.จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543–2544 ชี้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา
ขณะที่ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังรับหนังสือร้องเรียนจากเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่าต้นตอของความขัดแย้งมีรากเหง้ามาจากการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 รวมถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริงและไม่เคยได้รับการรับรองจากฝ่ายสยาม แต่กลับถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานประกอบจนก่อให้เกิดข้อพิพาทด้านพรมแดนอย่างต่อเนื่อง
ม.ล.กรกสิวัฒน์ ระบุว่า การทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่ยอมให้กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200000 เป็นเอกสารใช้ในการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนทางบก และ MOU ปี 2544 เกี่ยวกับเขตแดนทางทะเล ที่นำเส้นที่ละเมิดกฎหมายสากลของกัมพูชามาแสดงในแผนที่แนบท้ายโดยลากเส้นทะเลจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด มายังเกาะกูด ลากเลยเข้าไปกลางอ่าวไทย ซึ่งถือว่าละเมิดอธิปไตยของไทยและไม่สอดคล้องกับพระบรมราชโองการในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2516 ที่กำหนดแนวเขตทะเลไว้อย่างชัดเจน MOU ทั้งสองฉบับถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เพราะยอมเปิดช่องให้กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ชายแดนบนบกและทะเลอ่าวไทยโดยไม่ชอบธรรม อีกทั้งเอ็มโอยูทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน
พรรคพลังประชารัฐมีจุดยืนชัดเจนว่า ประเทศไทยควรยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียเปรียบอีกต่อไป พร้อมเสนอให้ใช้กฎหมายสากลระหว่างประเทศเท่านั้นเป็นกรอบการเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเล เช่นเดียวกับที่ไทยเคยดำเนินการกับเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ส่วนกรณีเขตแดนทางบก ควรยึดตามแนวหน้าผาจากช่องบกถึงช่องสะงำและจากช่องสะงำถึงจังหวัดตราดใช้หลักเขตที่ 1–73 ที่สยามและฝรั่งเศสเคยทำไว้ และหากมีการเจรจาเขตแดนในอนาคต ควรนำสนธิสัญญาสันติภาพโตเกียว ซึ่งระบุว่าจังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณเป็นของสยาม มาใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบการเจรจาด้วย
“พลังประชารัฐจะยืนหยัดปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว เพื่อความมั่นคงของแผ่นดินและประโยชน์สูงสุดของประชาชน” ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวย้ำ
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ความว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีการหยิบยกข้อมูลที่เกี่ยวเนื่อง จาก MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ระหว่างไทยกับกัมพูชา มากล่าวถึงมากยิ่งขึ้นนับแต่มีการปะทะกัน และพบการเปิดเผยข้อมูลจากทางการไทยว่าทางฝั่งกัมพูขาได้ละเมิด MOU มากกว่า 600 ครั้ง
พรรคภูมิใจไทย ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ถึงแม้ในห้วงเวลาดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมแรง ร่วมใจ ช่วยดูแลพี่น้องประชาชน ตามศูนย์อพยพใน 4 จังหวัด (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี) มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังติดตามสถานการณ์ในประเด็นดังกล่าวอยู่โดยตลอด โดยฝ่ายที่ต้องการยกเลิกมองว่า MOU ทั้งสองฉบับส่งผลกระทบต่อเขตแดน และปัจจุบัน ไทยกำลังเผชิญการรุกล้ำดินแดนอย่างชัดเจน ขณะที่ฝ่ายที่ต้องการคงไว้ให้เหตุผลว่าจำเป็นเพื่อรักษา ช่องทางการเจรจาระหว่างประเทศ
โดยที่ MOU ปี 2543 เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำ หลักเขตแดนทางบก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชายังมีข้อพิพาทคาราคาซัง ส่วน MOU ปี 2544 เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตทางทะเลที่อุดมด้วยทรัพยากรมหาศาล โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติพรรคภูมิใจไทย เห็นว่า หากแม้ในอนาคตจะยกเลิก MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ไทย และกัมพูชา ก็สามารถเจรจาทวิภาคีกันได้ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ เหมาะสมที่สุดที่สภาผู้แทนราษฎรควรหยิบประเด็น MOU 43 และ 44 มาพิจารณาเพื่อนำไปสู่การยกเลิก
โดยทางพรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการยกเลิกที่ส่งผลกระทบน้อยที่สุด เมื่อกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นมา พิจารณามีข้อมูลครบถ้วนแล้ว เพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน และขั้นตอนสุดท้าย ควรฟังเสียงประชาชน โดยการจัดทำประชามติ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและได้รับการยอมรับจากสังคมทั้งประเทศ
พรรคภูมิใจไทย ขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง พิจารณาสนับสนุนแนวทางการดำเนินการนี้ เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรื่องของชาติบ้านเมือง อยู่เหนือการเมืองระหว่างพรรค อยู่เหนือการเมืองในประเทศ เรื่องของชาติบ้านเมืองคือการรวมใจ รักษาชาติสืบไป