"เท้ง -ไหม" ประสานเสียง แนะรัฐบาล ปรับงบปี69 กันไว้ใช้ยามวิกฤต

"พรรคประชาชน" เห็นพ้อง ปรับงบปี69 ชงแผนลงทุน - แผนตั้งรับวิกฤตเศรษฐกิจและสงคราม ชี้ หากเดินตามแผนเดิม GDP ไปไม่ถึง 69%

ในการประชุมสภาฯ วาระพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จ เป็นวันแรก ซึ่งที่ประชุมอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรา 4 ว่าด้วยภาพรวมของงบประมาณ

โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาฯ อภิปรายว่าการปรับลดลงประมาณ ของกมธ. 8,920 ล้านบาท หรือเท่ากับ 0.24% ถือว่ากมธ.ทำหน้าที่ได้ดี ขณะที่การจัดสรรไปให้กับหน่วยงานต่างๆ นั้นยังไม่ตรงจุดและไม่ตอบโจทย์การรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ และสงคราม ทั้งสงครามชายแดนและสงครามการเมือง ทั้งนี้ตนไม่โทษกมธ. แต่ขอโทษรัฐบาลที่หูหนวก ไม่ยอมฟังเสียงสภา ตาบอดโดยไม่พิจารณางบประมาณที่มีความจำเป็นกับประชาชนและภาวะของประเทศ ทั้งนี้ตนมองว่าเหตุที่รัฐบาลเป็นเช่นนั้นเพราะขาดเข็มทิศ

นายณัฐพงษ์ อภิปรายต่อว่า เศรษฐกิจที่ต้องการคือเม็ดเงินลงทุนที่สร้างการเติบโตให้ประเทศและสร้างประโยชน์กับประชาชน ไม่ใช่กระจุกตัวกับผู้รับสัมปทานบางกลุ่ม หากรัฐบาลเตรียมร่างพ.ร.บ.งบฯ69 ดีเพียงพอ จะทำให้นักลงทุนและคนไทยเห็นถึงเป้าหมายว่าจะเดินไปทางไหน สิ่งที่อยากเห็นในงบลงทุน เช่น นำไปปลูกป่าเศรษฐกิจ ลดคาร์บอน ต่อยอดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างไบโอแมททีเรียล โดยรัฐบาลต้องถือธงนำให้เอกชนร่วมพัฒนาเมือง ปลูกโซลาร์บนหลังคาประชาชน เปลี่ยนโครงสร้างพลังงานเป็นพลังงานสะอาด โดยรัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุน ซึ่งทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ ได้ลดค่าไฟด้วย นอกจากนั้นคือ การลงทุนปลูกข้าวยั่งยืน ข้าวรักษ์โลก เปลี่ยนกระบวนการปลูกข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายณัฐพงษ์เห็นด้วยว่า ควรปรับลดงบประมาณ เพื่อเก็บกระสุนไว้ให้ประหยัดพื้นที่ทางการคลังเพื่อลงทุนให้กับประเทศในระยะยาว ขณะนี้ประเทศเราเผชิญกับ 2 วิกฤต 2 สงคราม ทั้งวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา และวิกฤตการเมืองรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ทั้งนิติสงครามและสงครามการค้า เป็นสิ่งที่พวกเราอยากเห็นว่า ในงบประมาณปี 2569 รัฐบาลได้เตรียมเกราะป้องกันและสร้างการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศอย่างไรบ้าง

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่แปรญัตติกลับมาไม่ตรงจุดเลย ปีนี้กรรมาธิการฯ สามารถตัดลดงบประมาณได้มากกว่าปีที่แล้ว คือ 8,920 ล้านบาท แต่ผลงานปีนี้ยังต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ การทำหน้าที่ของกรรมาธิการฯ จึงเป็นการตอดเล็กตอดน้อยเท่านั้น ส่วนการแปรญัตติซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล เพราะการแปรญัตติยังลงไปที่รายจ่ายประจำอื่นๆ เช่น เงินเดือนของบุคลากรในองค์กรอิสระ 

“รายจ่ายต่างๆ แบบนี้ควรตั้งมาเต็มจำนวนตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ. ในวาระ 1 แล้ว ไม่ควรแปรญัตติกลับมาในวาระ 2 นั่นแปลว่าในวาระ 1 รัฐบาลไม่รอบคอบที่จะทำให้รายจ่ายประจำเหล่านี้ตั้งเข้ามาอย่างเต็มจำนวนอย่างที่ควรจะเป็น” นายณัฐพงษ์ กล่าว

สำหรับงบลงทุนก็น่าผิดหวัง เพราะงบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศยังเหมือนเดิม คือ งบการตัดถนน สร้างตึก ขุดคลอง ซึ่งเราได้เสนอแนะไปแล้วตั้งแต่วาระ 1 เราอยากเห็นรัฐบาลโยกงบประมาณไปลงทุนให้ถูกจุด จึงน่าผิดหวังอย่างยิ่งกับท่าทีของรัฐบาลที่ดูเพิกเฉยกับ 2 วิกฤต 2 สงคราม งบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ประเทศ สามารถสรุปได้ว่า เกิดจากกระบวนการหูหนวก ตาบอด ขาดเข็มทิศ ไร้แผนที่ 

หูหนวกตรงที่ไม่ฟังเสียงสภาฯ เลย ข้อสังเกตของกรรมาธิการฯ ตั้งมาอย่างยากลำบากในทุกปี แต่ส่วนราชการได้ปรับปรุงมาตรงแค่ไหน กล้าพนันว่าแทบไม่มีการแก้ไขเนื้อหาภายในใดๆ เลย เสียงจากสภาฯ ไม่เคยมีความหมาย สส. เป็นเพียงแค่ตรายางประทับให้กับงบของส่วนราชการประจำ

ตาบอดตรงที่ไม่มีความโปร่งใส เพราะยังมีเงินนอกประมาณอีกเยอะ ที่อยู่เหนือการตรวจสอบของสภาฯ โดยตรง และอยู่นอกสายตาประชาชน เช่น อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่ม ซึ่งเป็นเงินสะสมตามองค์กรอิสระ หรือโครงการซื้อตึก SKYY9 แพงเกินจริง จากกองทุนประกันสังคม เรามุ่งหวังให้รัฐบาลมาแก้ไขการจัดทำงบประมาณให้โปร่งใสยิ่งขึ้น

ขาดเข็มทิศ คือสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง ต่างคนต่างทำ และไร้แผนที่ คือมองไม่เห็นภาพรวม งบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องมองถึงรายได้ เพราะรัฐมีรายได้อื่นๆ ที่ยังไม่ส่งคืนคลังอีกเยอะ เช่น รัฐพาณิชย์ ธุรกิจกองทัพ ที่เรายังมองไม่เห็น

“สิ่งต่างๆ ที่ตนเองพูดมา ถ้าตนมีอำนาจในฝ่ายบริหาร ยืนยันอีกครั้งว่า เราสามารถแก้ได้เกือบทุกเรื่อง เพื่อให้งบประมาณฟังเสียงสภามากขึ้น ประชาชนมองเห็นไส้ในได้มากขึ้น มีทิศมีทางมากขึ้น และเราเห็นสุขภาพทางการคลังของประเทศได้มากขึ้น” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ ยังชี้ว่า ทุกปัญหาที่บอกไป ถ้าเราไม่ปฏิรูประบบงบประมาณ ที่ฝ่ายบริหารสามารถลงมือทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย ไม่มีวันที่เราจะเห็นเงินในทุกๆ กระเป๋าที่รัฐถืออยู่ ไม่มีทางจะสามารถบูรณาการการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเหล่านั้นไม่พุ่งเป้าและตรงจุดมากขึ้น 

นายณัฐพงษ์สรุปว่า เศรษฐกิจไทยเวลานี้ต้องการเม็ดเงินลงทุนใหม่ ที่สร้างความเติบโตให้กับประเทศในอนาคต ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับผู้ได้รับสัมปทานบางกลุ่มเท่านั้น เงินลงทุนนั้นควรสะท้อนอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เหล่านั้น เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นและเห็นโอกาส ความเชื่อมั่นมาจากเสถียรภาพทางการเมือง และความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การมองเห็นโอกาส หากรัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ฉบับนี้ดีพอ จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพตรงกัน

ขณะที่ทางด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกมธ. สงวนความเห็น อภิปรายว่า ขอให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 373,600 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่เราจะอยากตัดลดงบประมาณเพิ่มในยามที่ประเทศอาจจะยังเผชิญกับวิกฤตคู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และหารปะทะกันในเขตชายแดน ซึ่งเราหวังว่าวิกฤตชายแดนน่าจะจบลงในเร็ววันไม่ยึดเยื้อไปจนถึงปีงบประมาณ 2569

แต่วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้เรามาถึงจุดที่ต้องขอปรับลดงบประมาณลง 50,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น

“อีก 3 วันข้างหน้า สมาชิกก็คงจะได้รับฟังว่ามีรายการอะไรบ้าง มีประเด็นใดบ้างของงบประมาณปี 69 ที่ได้จัดทำมาซ้ำซ้อน แพง ไม่จำเป็น และจำเป็นจะต้องปรับลด รีดไขมันออก ต้องชะลอ เลื่อนออกไปก่อน ต้องจัดลำดับความสำคัญกันใหม่ นั่นคือเหตุผลทางด้านงบประมาณ ส่วนดิฉันอยากจะนำเสนอเหตุผลในการปรับลดงบประมาณที่เป็นเหตุผลทางด้านการคลัง จากวิกฤตที่จะเกิดจากสงครามการค้าซึ่งกำลังจะมาถึง ทำให้การคลังของประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ฯ ที่นำมาเสนอให้กมธ.ได้รับทราบคือประมาณการของจีดีพีในปี 2569 ว่าจากเดิมที่ตอนจัดทำงบประมาณฉบับนี้ประมาณปลายปี 2567 ตอนนั้นจีดีพีคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 2.8%

ล่าสุดเดือนพ.ค.2568 มีการคาดการณ์ว่าในปี 69 จีดีพีจะเติบโตเพียงแค่ 1.6% ลดลงมา 1.2% หลายท่านอาจจะบอกว่าตอนนี้เราทราบอัตราภาษีสหรัฐฯ แล้ว สถานการณ์อาจจะดีขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะหลายสำนักมีการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจสำหรับปี 2568 ขึ้นเป็น 2.0 , 2.3 , 2.5% บ้าง แต่ยังไม่มีสำนักวิจัยไหนที่ปรับเพิ่มจีดีพีสำหรับปี 2569 เลย

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เสี่ยงแรกที่จะเกิดวิกฤตจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมากกับรายได้ ประมาณการรายได้ของปี 2569 ใช้ฐานจากจีดีพีที่ 2.8% ทำให้เมื่อจีดีพีปรับลดลงก็จะทำให้การจัดเก็บรายได้ลดลงด้วย จากการประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังบอกว่า ทุกๆ 1% ที่เป็นจีดีพีราคาประจำปีลดลงจะทำให้รายได้จากการจัดเก็บรายได้ลดลง 0.85%

ดังนั้น ถ้าจีดีพีลดลง 1.7% จะทำให้รายได้ที่รัฐบาลจัดเก็บลดลง 1.45% แต่เศรษฐกิจที่จะชะลอตัวจากสงครามการค้าไม่ได้ส่งผลเฉพาะจีดีพีของประเทศเรา แต่ส่งผลต่อจีดีพีทั่วโลก และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รายได้ที่เราจัดเก็บลดลง คือราคาน้ำมันที่ลดลงด้วย

มีการประมาณการว่าราคาน้ำมันดิบโลกในปี 2569 จะอยู่ระหว่าง 60-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้น ต่างจากที่เคยประมาณการไว้ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งน่าจะทำให้เราจัดเก็บรายได้ที่ได้จากภาษีเงินได้ปิโตรเลียมและภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมันลดลงประมาณ 0.7% เช่นเดียวกัน

รวมๆ แล้วแค่สองปัจจัยนี้ก็จะทำให้รัฐจัดเก็บรายได้พลาดเป้าอาจจะเกือบ 64,000 ล้านบาท นี่เป็นเรื่องใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2569 อันเนื่องมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามการค้า แต่เรื่องเดิมที่เป็นปัญหาของการจัดเก็บรายได้ของประเทศไทยยังคงอยู่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรามีปัญหาในเรื่องการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เราจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 15% ของจีดีพี ซึ่งต่ำกว่าหลายๆ ประเทศที่เป็นประเทศในกลุ่มเดียวกับประเทศของเรา

ปี 67 รายได้ภายหลังจากภาษีจัดเก็บตกเป้าเกือบ 80,000 ล้านบาท แต่ในท้ายที่สุดสามารถที่จะปิดได้เพราะมีรายได้พิเศษไม่ว่าจะเป็นการให้ปตท.ปันผลก่อนเวลาอันควร หรือบีบให้กองทุนวายุภักษ์ปันผลเพิ่มเติม และกองสลากมีรายได้เพิ่มเติมก็สามารถที่จะปันผลได้เพิ่ม แต่สังเกตว่ารายได้จากรัฐวิสาหกิจในปี 67 เพิ่มขึ้นถึง 25.4 % เรียกว่าเป็นเดอะแบกที่ทำให้เราสามารถปิดหีบในปี 2567 ได้

ส่วนปี 68 สถานการณ์ก็ยังคงเหมือนเดิม เรามีแนวโน้มที่จะจัดเก็บภาษีตกเป้าอีกเช่นเคย เฉพาะ 9 เดือนแรกรายได้ภาษีตกเป้าไปแล้วเกือบ 70,000 ล้านบาท เห็นได้ชัดคือกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีรถยนต์ ภาษีน้ำมัน ภาษียาสูบไม่ได้เลย

ส่วนกรมสรรพากร พอเศรษฐกิจตกต่ำก็จะทำให้จัดเก็บภาษีเงินได้ลดลงเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีเดอะแบกอย่างรัฐวิสาหกิจใดมาช่วยปิดหีบอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จะเป็นปัญหาทางการคลังต่อไป

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในปี 2569 ความล่าช้าเรากำลังจะมีปัญหาใหม่มาทั้งที่ปัญหาเดิมยังไม่ได้มีการแก้ไข ถึงแม้จะมีแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่จะประกาศประมาณเดือนก.ย. แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็น จึงอยากได้จากประธานกมธ.ว่าจะมีแนวทางอย่างไร

เพราะ ปัญหาเดิมๆ ไม่ว่าจะการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ การที่คนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือการจัดเก็บภาษียาสูบที่มีการเปลี่ยนอัตราใหม่ก็ไม่สามารถจัดเก็บได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงถือเป็นความเสี่ยงสำคัญทางด้านรายได้ที่เราจะต้องเจอในปี 69

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะที่กำลังจะชนเพดานแล้ว พื้นที่ทางการคลังของเราเหลือไม่มากแล้ว ปัจจุบันเดือนมิ.ย.68 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 64% ซึ่งเราคิดว่าน่าจะพอไหวแต่สิ้นปีงบประมาณ ปี 68 ขึ้นอยู่ที่ 66% ในส่วนปี 69 หากกู้ตามที่ได้วางแผนไว้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% เนื่องมาจากจีดีพีของเรากำลังทดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกำลังจะชนเพดานในปี 2569 นี้

จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงจะต้องประหยัดงบประมาณในส่วนนี้เพื่อไปสมทบในส่วนหน้า ตนคิดว่าแน่นอนแล้วที่เราจำเป็นจะต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะให้เกิน 70% ของจีดีพี และอาจจะต้องมีการออกพ.ร.บ.เงินกู้ หรือเงินกู้ต่างๆ เพื่อมาพยุงเศรษฐกิจในปี 2569

TAGS: #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #งบประมาณแผ่นดิน #งบประมาณปี69 #พรรคประชาชน