สวนดุสิตโพล เผย ประชาชน 41.56% มอง ครม.ชุดใหม่อาจจะแย่กว่าเดิม 50.04 % เชื่อ รัฐบาลไม่น่าจะเจรจาแก้ไขปัญหา"ภาษีทรัมป์" ได้
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,191 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 พบว่าผลงานหรือนโยบายที่อยากเห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เร่งดำเนินการมากที่สุด คือ แก้ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ร้อยละ 65.41 เรื่องที่กังวลเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ คือ อาจมีบุคคลที่ประวัติไม่โปร่งใส ความสามารถไม่ตรงกับงาน ร้อยละ 62.97
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับ ครม.ชุดที่ผ่านมาคิดว่าการทำงานของ ครม.ชุดใหม่อาจจะแย่กว่า ร้อยละ 41.56 ด้านความเห็นเกี่ยวกับกรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% คาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ร้อยละ 50.04 สุดท้ายมองว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะเจรจาแก้ไขปัญหานี้ได้ ร้อยละ 50.63
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจทั้งเรื่อง ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์สะท้อนภาพเดียวกันว่ารัฐบาลยังเผชิญความคาดหวังสูงจากประชาชน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจซึ่งเป็นความหวังหลักขณะเดียวกันก็มีความกังวลต่อคณะรัฐมนตรีและศักยภาพรัฐบาลในการรับมือแรงกดดันจากภายนอกจากกรณีภาษีทรัมป์ที่จะกระทบ ต่อเศรษฐกิจไทยความไม่มั่นใจต่อการเจรจาจึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยอดชาย ชุติกาโม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมืองมหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ในเวลานี้ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ครม.ชุดใหม่เร่งดำเนินการหนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ยังมีความกังวลใจถึงความรู้ความสามารถที่ไม่ตรงกับงานความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรี เมื่อเปรียบกับครม.ชุดที่ผ่านมา ประชาชนเชื่อว่า ครม.ชุดใหม่อาจแย่กว่าสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อ ครม.ชุดใหม่ ส่วนผลกระทบจากปัจจัยภายนอก คนไทยมีความกังวลมากถึง 50.04% กรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยถึง 36% ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก สิ่งที่ครม.ชุดใหม่ที่นำโดยพรรค เพื่อไทยจะต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากปัญหาของตัวนายกรัฐมนตรีเอง
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหานโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้แม้ว่าจะประกาศออกมารายวันแต่นโยบายก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ครม.ชุดใหม่สมควรจะต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตนเองว่าได้ทำอย่างเต็มที่หรือไม่และต้องใช้วิกฤตินี้พิสูจน์ว่ามีความจริงใจต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติ นั่นคือความอยู่ดีมีสุขของคนไทยทุกคนมากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมืองภายในเพื่อยืดระยะเวลารัฐบาลเอาตัวรอดไปวันๆ