เด็กพรรคประชาชน ชำแหละปัญหาวงการตำรวจ จัดงบไม่สอดคล้องจำนวนเจ้าหน้าที่ จี้ นายก ตรวจสอบ
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วาระพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า สตช. เป็นหน่วยงานภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ได้รับการจัดสรรวงเงินงบประมาณสูงถึง 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,433 ล้านบาท สูงกว่ากระทรวงแรงงานทั้งกระทรวง แต่ภาพรวมยังมีการบริหารงบประมาณแบบบนลงล่างเหมือนเดิม ปัญหาเดิมไม่ถูกแก้ไข แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นทุกวัน
โดยอุปสรรคในการทำงานของตำรวจไทยคือปัญหาการคอร์รัปชันผ่านระบบงบประมาณภายใน สตช. ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติงานและประชาชน เพราะเมื่อเรามาดูกันดีๆ แล้ว จะพบว่าสาเหตุของปัญหานั้นไม่ใช่วิกฤตที่เกิดขึ้นจากการขาดงบประมาณ แต่เป็นเพราะวิกฤตการขาดประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณและระบบโครงสร้างที่เอื้อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน
“ทั้งการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ภารกิจ งบดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน กระจัดกระจายในหลายโครงการ เช่น งบลงทุนที่เอาไปทุ่มซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และก่อสร้างอาคารต่างๆ แถมยังขาดกลไกประเมินผลที่เป็นอิสระ โปร่งใส จนท้ายที่สุดกระทบต่อทั้งความรู้สึกปลอดภัย และการให้ความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมซึ่งส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในวงการสีกากี” น.ส.พนิดา ระบุ
น.ส.พนิดา เปิดเผยอีกว่า แม้ว่าเราจะเห็นการประกาศนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่ามีการเอาจริงเรื่องห้ามมีการทุจริตเรื่องเบี้ยเลี้ยง และกำชับให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมของแนวทางการจัดการปัญหานี้ ปัจจุบันก็ยังไม่มีระบบติดตามงบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงปัญหาเรื่องงบค่าน้ำมันเช่นกัน ที่แม้ในเอกสารจะเห็นว่าได้รับเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่เมื่อไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชั้นปฏิบัติการ กลับไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอะไร ตำรวจบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้งบน้ำมันเพิ่ม เห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติ จนล่าสุดสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต้องส่งหนังสือถึง ผบ.ตร.เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบการใช้งบประมาณค่าน้ำมันของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน
“ดิฉันมีข้อเสนออยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อหยุดวงจรทำนาบนหลังคนกับงบสวัสดิการตำรวจเช่นนี้ โดยพัฒนาแอปพลิเคชันแทนใจที่ตำรวจใช้เช็กยอดรายรับ ให้มีการระบุเพิ่ม ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าตอบแทนพิเศษ ค่าน้ำมัน โอที และสวัสดิการต่างๆ จากแต่ละโครงการ รวมถึงระบุในใบแสดงรายรับตำรวจเช่นกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและตรวจสอบย้อนกลับได้ คนทำงานก็สามารถตรวจสอบรายรับทุกยอดของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ ป้องกันการหักหัวคิว ที่ผ่านมาท่านนายกรัฐมนตรีเคยพูดเองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน ชีวิตความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน เมื่อท่านพูดเองกับปากแล้วก็อยากให้ช่วยลงมือทำอย่างเอาจริงเอาจังให้พี่น้องตำรวจและประชาชนเห็นหน่อย” น.ส.พนิดา กล่าว
น.ส.พนิดา กล่าวต่อไปว่า งบดำเนินงานในโครงสร้างระดับบนที่ซ้ำซ้อนคือ โครงสร้างหน่วยงาน โดยตนขอยกตัวอย่างที่เป็นส่วนสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ที่แม้ตั้งขึ้นมาโดยเจตนาดีคือเพื่อบูรณาการการทำงาน แต่ในทางปฏิบัติกลับซ้ำซ้อนกับโครงสร้างหลักเดิม และส่งผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม และเบียดบังงบประมาณจากหน่วยที่ควรได้รับจริง เช่น กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ที่มีภารกิจเฉพาะในการดูแลนักท่องเที่ยว แต่ในทางปฏิบัติ กลับมีภารกิจซ้ำซ้อนกับตำรวจโรงพัก เพราะถึงแม้จะพบเจอเหตุอาชญากรรมซึ่งหน้าก็ไม่สามารถทำสำนวนคดีได้ ต้องพาไปโรงพักอยู่ดี
“ฉะนั้น ดิฉันขอตั้งคำถามง่ายๆ ว่าทำไมเราจึงไม่รวมอยู่ในที่เดียวกันไปเลย แล้วเพิ่มอัตรากำลังนายตำรวจที่ต้องการให้มีทักษะพิเศษเพิ่มเติมเอาในพื้นที่จุดท่องเที่ยวสำคัญๆ เราจะตั้งกองบัญชาการใหม่ขึ้นมาทำไมให้เทอะทะ ซึ่งยังไม่รวมอาคารอำนวยการอื่นๆ ของกองบัญชาการเหล่านี้ที่ไม่รู้มีอีกเท่าไหร่ มั่นใจว่าบางทีไม่มีคนใช้งานจริง ฉะนั้น จึงขอเสนอปรับโครงสร้างและออกแบบระบบการทำงานใหม่ดีหรือไม่ รวมจุดบริการนักท่องเที่ยวไว้ที่เดียวในสถานีตำรวจหลักของพื้นที่ นำข้อมูลการดำเนินงานของตำรวจท่องเที่ยวไปรวมกับฐานข้อมูล สภ. ในพื้นที่ แล้วมาบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนและใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด” น.สพนิดากล่าว
น.ส.พนิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาโครงสร้างงบและโครงสร้างองค์กรที่ทำให้งบดำเนินงานบวมไปหมด พอไปดูงบลงทุนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงบลงทุนทั้งหมดของ สตช. มีจำนวนมากถึง 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่างบของหลายกระทรวง แต่เมื่อไปดูไส้ในกลับเอาแต่ทุ่มกับโครงการก่อสร้างที่ไม่ตอบโจทย์ นอกจากนี้ ยังมีงบลงทุนจัดซื้อครุภัณฑ์ ที่ปีนี้มีสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท โดยรายการที่น่าสนใจคือ งบซ่อมบำรุงอากาศยาน จำนวนเงิน 950 ล้านบาท ที่แปลกจนต้องยกมาพูดคือข้อมูลจาก Thai Armed Force ระบุว่า กองบินตำรวจดำเนินการซ่อมด้วยการเอาเงินไปจ้างการบินไทย ส่วนไหนที่การบินไทยซ่อมได้ก็ซ่อมเอง ส่วนไหนที่ไม่สามารถซ่อมได้ ก็จะจ้างบริษัทเอกชนหรือกึ่งรัฐวิสาหกิจให้ซ่อมต่ออีกทอดหนึ่ง จ้างต่อกันเป็นทอดๆ ที่น่าสงสัยคืองบก้อนนี้ตั้งมาเท่าเดิมทุกปี มีการรั่วไหลทอนกันในกระบวนการไหนหรือไม่ และว่ากันด้วยความสมเหตุสมผลคือเราจะซ่อมอะไรราคาเท่ากัน หรือคิดง่ายๆ หากเทียบกับตัวเอง มีใครจ่ายค่าซ่อมรถเป็นจำนวนเงินเท่ากันเป๊ะๆ ทุกปีหรือไม่
ล่าสุด ที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้น ที่มีเหตุอากาศยานของกองบินตำรวจตก และล่าสุดไม่กี่วันที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น นักบินทราบดีอยู่แล้วว่าเครื่องบินมีปัญหา และเคยมีรายงานความผิดปกติของเครื่อง จนหมุนขูดพื้นเป็นรอย สตช. เคยได้ทำการซ่อมแซมอย่างจริงจังหรือไม่ ถ้าซ่อมแล้วใครเป็นตรวจรับ ท่านปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคนในองค์กรตัวเองได้อย่างไร ท่านเอาเครื่องบินที่แทบจะใช้การไม่ได้มาให้เขาขึ้นบินได้อย่างไร ทั้งที่มีงบประมาณในการซ่อมปีละเกือบพันล้านบาท และขอเสนอให้กรรมาธิการเรียกเอกสาร Aircraft Maintenance Log Book บันทึกประวัติการใช้งานและซ่อมบำรุงของอากาศยานทุกลำในกองบินตำรวจมาตรวจสอบว่าที่ผ่านมางบปีละเกือบพันล้านที่ สตช. ได้ไปนั้น เอาไปใช้ทำอะไรกันแน่ และหากกรณีนี้มีการทุจริตต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ เพื่อให้นี่เป็นเคสสุดท้าย อย่าให้ใครมาตาย เพราะเหตุที่สามารถป้องกันได้แบบนี้อีกเลย