‘อนุทิน’ ปัด เกี่ยวข้อง สว.ติงสื่ออย่าเสนอข่าวสับสน ย้ำ‘มท.-ยธ.’ ไม่มีปะทะ ต่างคนต่างทำหน้าที่

‘อนุทิน’ ปัด เกี่ยวข้อง สว.ติงสื่ออย่าเสนอข่าวสับสน ย้ำ‘มท.-ยธ.’ ไม่มีปะทะ ต่างคนต่างทำหน้าที่
‘อนุทิน’ ปัด เกี่ยวข้อง สว.หลัง กกต.เตรียมเรียก 60 สว.สอบเพิ่ม คดีฮั้วเลือก สว. ติง สื่ออย่านำเสนอข่าวให้เกิดความสับสน ยืนยัน ‘มท.-ยธ.’ ไม่มีปะทะ ต่างคนต่างทำหน้าที่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผย กรณีวันพรุ่งนี้ (8พ.ค.68) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมเรียก สว. 60 คนให้การเพิ่มเติมคดีฮั้วการเลือก สว.ว่า ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับกระทรวงมหาดไทย และตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรกับฝั่ง สว.เพราะตนเป็น ส.ส.และไม่ได้กังวลอะไร 

นายอนุทิน ย้ำว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน ต้องพยายามไม่ผูกกัน เพราะบางที สื่อผูกเรื่องกันจนเกิดความสับสนไปหมด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็จะให้ความร่วมมือในด้านการสืบสวนและสอบสวน กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในเรื่องของการสอบสวนต่างๆ ของส่วนราชการ ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่

ส่วนที่ว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ให้ความร่วมมือ และมีการออกคำสั่งต่างๆ นั้น นายอนุทินกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ แสดงว่าผิดกฎหมาย ย้ำให้ความร่วมมือในทุกกรณี หากผู้มาขอความร่วมมืออยู่ภายใต้กฎหมายที่ระบุไว้ชัดเจนแล้วมาตราอะไรบ้าง 

“ขอให้สื่อมวลชนเสนอข่าวให้ถูกต้องด้วย อย่างเมื่อวานนี้ (6พ.ค.68) ก็มีความพยายามจะทำให้มีการชนกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม มันไม่มีตรงไหนที่มีความขัดแย้งกันเลย สื่อไปพาดหัวว่า ‘ท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมจะฟันผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ’ หากไปดูในข่าว หรือคลิปข่าว ก็ไม่มีคำไหนที่บอกว่าจะฟันผู้ว่าฯ เลย ซึ่งการนำเสนอข่าวแบบนี้ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดสู่ประชาชนได้ "

นายอนุทินย้ำว่า สิ่งที่ตนยืนยันตลอดเวลาว่าข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ก็ต้องให้ความร่วมมือ หากได้รับการร้องขอใดๆ มาภายใต้กฎหมาย หากไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่ได้ เมื่อเช้านี้ตนก็ได้ดูการนำเสนอข่าว ว่ามีการปะทะกัน ชนกัน ยืนยันไม่มีเลย ต่างคนต่างทำตามหน้าที่

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า หลังจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ซึ่งมี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นประธาน และมีกรรมการมาจาก กกต.และดีเอสไอ รวม 7 ราย ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการเลือกสว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 กระทั่งวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน การสอบสวนปากคำพยาน

ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวของกลุ่มคณะบุคคล, การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ตั้งแต่การเลือก สว. ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ, การกาคะแนน การนับผลคะแนนที่มีการเลือกหมายเลขเดียวกัน ซ้ำๆ กันหลายชุด เป็นต้น

เมื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์แล้ว พบการกระทำที่เข้าข่ายมีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตหรือเที่ยงธรรม พบการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 จึงส่งหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงานกกต. ประกอบการพิจารณาตามกฏหมายเลือกตั้ง อาทิ การพิจารณาเพิกถอนสิทธิ สว.นั้น

ล่าสุดมีกระแสสะพัดว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่ กกต.เรียก สว.บางส่วน มาแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎหมายเลือกตั้ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561

อย่างไรก็ตาม การสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ที่มีเจ้าหน้าที่ กกต. และดีเอสไอ รวม 7 ราย ได้ดำเนินการเก็บพยานหลักฐานสำคัญเข้มข้นมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นการตรวจสอบเชิงลึกอย่างละเอียดรอบคอบ ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏจากคำให้การของพยานและหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์

ดังนั้น กกต.จะทยอยเรียกแจ้งข้อกล่าวหา สว. ล็อตแรก 60 ราย ส่วนใหญ่เป็น สว.คนดัง ตามความผิดกฎหมายเลือกตั้ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย มาตรา 32 มาตรา 36 , มาตรา 62 , มาตรา 70 และมาตรา 77

รายงานข่าวระบุว่า บุคคลที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหา ล้วนมีพฤติการณ์และพยานหลักฐานชัดเจนว่ากระทำความผิด ไม่ได้ถูกเลือกเป็น สว.โดยสุจริตเที่ยงธรรม หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ คือ มาโดยการฮั้ว ซึ่งกระบวนการหลังจากนั้น วุฒิสภาที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจะต้องเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับ กกต. เพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เนื่องจาก กกต.เป็นระบบไต่สวน

ฉะนั้น หากเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วไม่มาพบเจ้าหน้าที่ ก็ถือว่าประสงค์ไม่ให้การชี้แจง แต่จะไม่ถึงขั้นขอศาลออกหมายจับ แต่ กกต.จะเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาเรื่องการทุจริต เพื่อออกใบแดง และส่งเรื่องเพิกถอนสิทธิ สว.ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

รายงานข่าว ระบุด้วยว่า ส่วนที่ดีเอสไอดำเนินการเรื่องความผิดคดีอาญาอื่น คือ ฐานฟอกเงินและอั้งยี่นั้น สำนวนนี้ดีเอสไอคือหัวเรือหลัก ในการสอบสวนบุคคลที่ร่วมกระทำทุจริต รับเงิน เป็นกลุ่มโหวตเตอร์ พลีชีพ จัดฮั้ว ซึ่งเบื้องต้นมีจำนวนหลายร้อยคน ดังนั้น เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้น ดีเอสไอต้องสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่ออัยการส่งศาลอาญารัชดาภิเษก ซึ่งฐานความผิดอาญานี้ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถสู้ได้ถึง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และศาลฎีกา

TAGS: #คดีฮั้วสว #มหาดไทย #อนุทิน #กกต