ก้าวไกล​ ดิ้นสู้ ย้ำ​ 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรค 

ก้าวไกล​ ดิ้นสู้ ย้ำ​ 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรค 
ก้าวไกล กางกฎหมายศาลรัฐธรรมนูญ​ไม่มีอำนาจ​ ยุบพรรคก้าวไกล ซัด กกต. ชุ่ย​ ชงเรื่องมิชอบ​

นายชัยธวัช ตุลาธน​ สส.บัญชี​รายชื่อ​  และหัวหน้าพรรคก้าวไกล​  แถลง​ 9 ข้อต่อสู้ครั้งสุดท้าย​ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล 7 สิงหาคม​ 2567  โดยร่ายยาวกว่า​ 1 ชั่วโมง

โดยนายชัยธวัช​ กล่าวถึงข้อต่อสู้​ ข้อที่​ 1. การพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลไม่มีอำนาจในการรับคำร้องไว้วินิจฉัย​ เนื่องจากมีเขตอำนาจเฉพาะ เท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ การตีความเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความอย่างเคร่งครัด ในกรณีใดที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ให้เป็นอำนาจ พิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญศาลย่อมไม่มีอำนาจ​​ โดย รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 210 วรรค 1 บัญญัติไว้ว่า พิจารณาความชอบด้วยกฎหมายหรือเรื่องกฎหมาย พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภารัฐสภาคณะรัฐมนตรีหรือองค์กรอิสระ หน้าที่อำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ที่มีบทบัญญัติ ให้สามารถวินิจฉัยการยุบพรรค  แม้ว่าพรป.พรรคการเมืองปี 2560 จะให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง เอกสารรัฐธรรมนูญธรรมวินิจฉัยที่ 5/2563 อนาคตใหม่ ไว้ว่า พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 ได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญด้วย. ซึ่งวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปขยายอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญเกินไปกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่สามารถนำคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐานหรือเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องด้วยพรรคเข้าไปไว้พิจารณาวินิจฉัยได้

2. การยื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเสนอคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ​ กกต.​ ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การยุบพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 96 วรรค 1 วงเล็บ 1 และ​วงเล็บ​ 2 มิชอบด้วยกฎหมาย​ เพราะเราไม่สามารถตีความได้ว่าการเสนอคำร้องตามมาตรา 92 แยกเป็นเอกเทศจากมาตรา 93 ได้​ และหากพิจารณาจากเอกสารจาก​กกต.​  เดิมทีก่อนเสนอคำร้องยุบพรรค นายทะเบียนพรรคการเมือง​ และสำนักงานได้ดำเนิน​การตามมาตรา​93 ประกอบมาตรา​ 92 อยู่​ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมาย ให้ขยายระยะเวลาการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเนื่องจากเห็นว่ามีพยานหลักฐานที่เห็นว่าต้องรวบรวมอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้อง สมบูรณ์ชัดเจนและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งแสดงเห็นว่า​กกต มุ่งหมายยื่นคำร้องอยู่เพราะก้าวไกลโดยไม่สนใจต่อกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ ละเลยไม่รอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเกี่ยวกับคำร้องก่อนเสนอคดี

3. การเสนอคำร้องนี้ เป็นข้อหาที่แตกต่างจากข้อหาในคดีเดิม ในคดีที่ 3/2567 ที่สั่งพรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ สส.บัญชี​รายชื่อ​เลิกการกระทำ โดยเป็นข้อหาที่ต่างไปจากคดีเดิม​ แต่​ กกต.กลับไม่แสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานใดๆ และไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้รับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงโต้แย้งในพยานหลักฐาน ซึ่งถือเป็นกระบวนการยุติธรรม คดีทุกประเภท แม้ว่าชั้นการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลจะรับฟังคู่ความทุกฝ่ายแล้วก็ตาม แต่การรับฟังคู่ความทุกข์ฝ่ายของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นเหตุยกเว้น ที่จะทำให้การเสนอคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันธ์คดีนี้ โดย​ กกต.อ้างว่า​การเสนอคำร้องยุบพรรคก้าวไกล​  เป็นไปตามคำวินิจฉัย​ของ​ศาลที่​3 /2567 โดยปราศจากข้อสงสัย มีผลผูกพันต่อรัฐสภา​ คณะรัฐมนตรี​ ศาล​ องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ แต่ก้าวไกล​ ยืนยันว่าหากพิจารณาหลักความเป็นที่สุดของคำพิพากษา ทั้งความเป็นที่สุดในมูลเหตุการฟ้องคดี และข้อเท็จจริงที่วินิจฉัย ย่อมประจักษ์ชัดว่าสารในคดีนี้ไม่อาจรับนำการรับฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มาผูกพันในการพิจารณาคดียุบพรรคนี้ได้​ หากพิจารณาตามหลักความเป็นที่สุดของมูลเหตุในการฟ้องคดี โดยคดีแรกเป็นคดีที่วินิจฉัยตามบทบัญญัติมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่ศาลรัฐธรรมนูญ​ในการวินิจฉัยว่าการกระทำใดเป็นการใช้สิทธิโดยเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ แล้วกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้กระทำการนั้นยกเลิกการกระทำเสีย ซึ่งศาลก็สั่งให้นายพิธา​ และพรรคก้าวไกล​ ยกเลิกการกระทำ​ ในการแสดงความคิดเห็น​ ​การพูด​ การเขียน​ การพิมม์​ การโฆษณาและการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และห้ามเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยมิชอบอีก แต่ข้อกล่าวหาของ กกต.​ว่า​พรรคก้าวไกลทำการล้มล้างการปกครองหรือมีการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข​  ตาม​ พรป.ประกอบพรรคการเมืองมาตรา 92 มีโทษถึงยุบพรรค​ จึงไม่สามารถให้เอาคำวินิจฉัยคดีก่อนหน้านี้​มาผูกพันวินิจฉัยคดีนี้ได้​ แต่ต้องมีความพิสูจน์​ที่เข้มข้นกว่า​ นอกจากนี้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ​จะต้องมีผลผูกพันคู่ความในคดีเป็นสำคัญ​ แต่ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 กกต.ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี​ ตามคำวินิจฉัยดังกล่าว 

ข้อต่อสู้ข้อที่ 4 นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 แล้วการกระทำอื่นๆตามคำร้องมีได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล​ เพราะการกระทำใดจะเป็นการกระทำของพรรคการเมืองได้ต้องเป็นการกระทำของพรรค โดยมติของคณะกรรมการบริหารพรรค หรือเป็นการกระทำที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง​ จะถือว่าการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการกระทำของพรรคมิได้​ ทั้ง​ กรณีที่​ สส.ไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม​ การไปประกันตัวให้กับจำเลยในคดีมาตรา 112 หรือตกเป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกพรรคให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 เหล่านั้นล้วนไม่ใช่การกระทำของพรรค​ ข้อเท็จจริงตามเอกสารไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าบุคคลต่างๆที่ได้กระทำการไปนั้น ทำไปโดยที่มีพรรคก้าวไกล​เป็นผู้สั่งการหรือวงการแต่อย่างใด อีกทั้งความเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า ที่ศาลไม่อาจรับฟังได้​

ข้อ​ 5 ไม่ได้เป็นการล้มล้างหรือกระทำการปฏิปักษ์​ต่อการปกครอง​ในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการที่ สส.เข้าชื่อแก้กฎหมายตามมาตรา​ 112 ว่า ไม่ได้เป็นการใช้กำลังบังคับ หรือการกระทำใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขสิ้นสุดลง หรือมิได้เป็นการใช้อำนาจเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เป็นระบอบการปกครองอื่น​แต่ประการใด แต่เป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญในการเสนอร่างกฎหมายให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา ซึ่งเป็นการกระทำการผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ  และยืนยันว่าชอบด้วยกฎหมาย ก่อนจะยกตัวอย่างว่าในสมัยนายอภิสิทธิ์​ เวชชาชีวะ​ เป็นนายกรัฐมนตรีก็เคยมีการเสนอแก้ไขลดโทษในคดีมาตรา 112​ และอีกกรณีคือนายอุดม​ รัฐอมฤต ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็เคยมีการเสนอหลักการ เรื่องอำนาจของราชเลขา

 

ขณะที่​ การใช้นโยบาย​ ม.112 มาหาเสียงของพรรคก้าวไกล   เป็นเพียงการนำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง เพื่อประคับประคองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มีความมั่นคงดำรงอยู่ เท่านั้น เมื่อพิจารณาไปตามภาวะวิสัย และสัมมาสัมนึกของวิญญูชน 

รวมไปถึง 5. ความเห็นของเจ้าหน้าที่กกต.ที่มีอำนาจ จะเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องในคดีนี้คือพรรคก้าวไกล มิได้เป็นการกระทำ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด

ส่วนการติดสติ๊กเกอร์ยืนยันว่าในเหตุการณ์นั้นมีการสื่อสารความหมายอย่างชัดเจนว่าพระก็ไกลเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 มิใช่การยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่าในฐานะผู้แทนราษฎรพร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการนำความคิดเห็นของประชาชนเข้าไปอภิปรายในสภาอย่างมีวุฒิภาวะ

ส่วนการใช้ตำแหน่ง​ สส.ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีมาตรา 112 ไม่ได้หมายความว่าพวกนั้น จะต้องเห็นด้วยหรือสนับสนุนการกระทำของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีทำนองเดียวกับการเป็นทนายความแห่งคดีนั้น​ ส่วนสสในพรรคก้าวไกลถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลและยังไม่ถึงที่สุดจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนี้ต้องคดีอาญาเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์​ และการที่สส.ไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม ก็เป็นเพียงการไป แสดงจุดยืนส่วนตัวมิได้เป็นมติหรือเกี่ยวข้องกับพรรค

ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยของบางประเทศจะสามารถทำได้ แต่จะต้องทำไปเพื่อจุดมุ่งหมายในการพิทักษ์รักษาและการพื้นฐานและคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยตามแนวคิดประชาธิปไตยที่ปกป้องตนเองได้ซึ่งการยุบพรรคการเมือง จึงต้องพึงพิจารณาอย่างเคร่งครัด ระมัดระวังและให้ได้สัดส่วนกับความรุนแรงของพฤติการณ์ของพรรคการเมือง และจะต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นแก้ไขเร่งด่วนฉับพลันเมื่อไม่มีมาตรการอื่นที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งผลของการกระทำที่มีความร้ายแรงของพรรคการเมืองได้อย่างทันทีภายใต้หลักความพอสมควรแก่เหตุ มิฉะนั้นจะกลายเป็นพรรคการเมืองในการทำลายหลักการพื้นฐานและคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยเสียเอง 

ข้อ​ 6 ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรค แม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าพูดถูกร้องจะใช้สิทธิและเสรีภาพในการลบล้าง การปกครองก็สามารถยับยั้ง​ โดยจะต้องปรากฏพยานหลักฐานที่เป็นรูปประธรรมมีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าล้มล้างการปกครองหรืออาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้โดยใกล้เคียงต่อผล ถึงขนาดจำเป็นต้องยุบพรรคนั้นเสีย​  / การกระทำของพรรคก้าวไกลยังไม่รุนแรงในทางกฎหมายรวมไปถึงมีเหตุสมควรเพียงพออันจะเป็นการยุบพรรค เมื่อศาลสั่งให้พรรคยกเลิกการกระทำดังกล่าวตามคำสั่งที่ 3/67 

ข้อ​ 7 หาก​ศาลรัฐธรรมนูญ​มีอำนาจยุบพรรคก้าวไกล​ แต่ไม่มีสิทธิตัดสิทธิการเลือกตั้ง​ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูภญไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม​ กระทบต่อศักดิ์​ศรีความเป็นมนุษย์​  และต้องสมควรแก่เหตุ​ และการกำจัดสิทธิตาม​รัฐธรรมนูญ​จะกระทำได้ต่อเมื่ออาศัยอำนาจทึ่ออกโดยนิติบัญญัติ​เท่านั้น​  

ข้อ​ 8 หากศาลเห็นว่ายุบพรรคก้าวไกล ระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ เมื่อพิจารณาจาก พ.ร.ป.พรรคการเมืองปี 2550 ในกรณีที่มีคำสั่งยุบพรรค กำหนดไว้ว่า 5 ปี ดังนั้น ครั้งนี้ ก็ไม่เกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปีตามที่ กกต.ร้องขอ 

ข้อ​ 9 การเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้งต้องเพิกถอนเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ซึ่งในคดีนี้หากพิจารณาข้อเท็จจริงจะพบว่าการกระทำของพรรคก้าวไกล​ ที่กกตยื่นคำร้องเป็นการกระทำของพรรค ในช่วงเวลาที่กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ดำรงตำแหน่งอยู่เท่านั้น ดังนั้นหากศาลเห็นว่าผิด ต้องเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคในชุดที่ 1 และ 2 เท่านั้นไม่รวมกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

TAGS: #ก้าวไกล