ตำรวจสอบสวนกลาง ขุดรากถอนโคน แก๊งปลอมเพจร้านทองชื่อดัง ชวนเทรดหุ้น อ้างกำไรงาม จับนายทุนจีน หัวหน้าขบวนการ พร้อม นอมินีคนไทย บัญชีม้า พบเส้นทางเงินนับพันล้าน 

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) แถลงผลปฏิบัติการ “CIB Anti Online Scam : ขุดรากแก๊งปลอมเพจ หลอกชวนเทรดหุ้น” หลังนำกำลังเข้าตรวจค้น 21 จุดเป้าหมาย ในพื้นที่ 8 จังหวัด สามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาชาวไทยและจีนได้จำนวน 26 ราย ในจำนวนนี้มีคนจีน 6 คน มีตัวการใหญ่ อาทิ 1.น.ส. อ้ายเสี่ยหลิว (Ms. Aixia Liu) อายุ 48 ปี สัญชาติ จีน  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3628/2566 2.นาย หลงหัวเปียว (Mr. Long Huabiao) อายุ 38 ปี สัญชาติ จีน 
ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3635/2566 และ 3.น.ส.สกุณา จันทร์สุข อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3636/2566 ที่ทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ หรือ จัดอยู่ในระดับหัวหน้า ทั้งหมดจับกุมได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ หลายจังหวัดในภาคกลาง และจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับรูปแบบแผนประทุษกรรมของคนร้ายกลุ่มนี้จะปลอมเพจเฟซบุ๊กร้านทองออโรร่าขึ้นมา ก่อนโพสต์ชักชวนผู้คนให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรดหุ้น อ้างกำไรร้อยละ 20-30 ของเงินลงทุน ซึ่งแท้จริงแล้วผลกำไรต่างๆเป็นเพียงแค่ตัวเลขที่สร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดใจจากเหยื่อ แต่ไม่สามารถถอนออกมาเป็นตัวเงินได้ หากใครจะถอนเงินกลุ่มคนร้ายก็จะอ้างเงื่อนไขต่างๆขึ้นมา เช่น ต้องเสียภาษี ต้องวางการันตรี หรือ เงื่อนไขอื่นๆมากมาย จนทำให้เหยื่อไม่สามารถถอนเงินได้ ก่อนจะตัดขาดการติดต่อ หรือ เชิดเงินทั้งหมดหนีไป ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก 

“หลังทราบเรื่องจึงสั่งการให้ ตำรวจ จัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนตรวจสอบ จนทราบตัวกลุ่มคนร้าย ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 50 ราย นำมาสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 26 ราย ในจำนวนนี้มีหัวหน้าแก๊งหรือผู้ต้องหาระดับสั่งการ 4 ราย เป็นชาวจีน พร้อมตรวจยึดเงินในบัญชีคริปโตจำนวน 28 ล้าน สมุดบันขีธนาคาร ซิมการ์ด คอมพิวเตอร์ที่มข้มนการกระทำผิดหลายรายการ นอกจากนี้จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินขบวนการดังกล่าวพบมีเงินหมุนเวียนกว่า 1,200 ล้านบาท อยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินอีก 1 คดี 

ผบช.ก.กล่าวต่อว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีการทำกันเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน อาทิ คนจัดหาซื้อเพจ คนโพสต์ข้อความชักชวน คนติดต่อพูดคุยกับเหยื่อ คนสอนเทรดหุ้น บัญชีม้า คนแปลงทรัพย์สิน โดยมีนายทุนชาวจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ว่าจ้างคนไทยเป็นนอมินีเปิดบริษัทขึ้นมาบังหน้า 3 บริษัท ส่วนเส้นทางการเงินจากแนวทางสืบสวนพบว่า เมื่อมีเหยื่อหลงเชื่อนำเงินมาร่วมลงทุน เงินของเหยื่อจะถูกโอนไปยังบัญชีม้าคนไทย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 แถว ก่อนจะถูกโอนต่อเข้าสู่บัญชีม้าแถวที่ 4 เป็นบัญชีคนต่างชาติ เพื่อรวบรวมเงินแล้วนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินต่างๆ 3 รูปแบบ คือ

1. สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศแล้วส่งไปที่ ประเทศกัมพูชา ลาว เพื่อขายกลับมาเป็นเงินสด  2.แปลงเป็นเงินสกุลดิจิตอลคริปโต และ 3. การแปลงเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ โดยมีบริษัทนอมินีทั้ง 3 แห่ง คอยบริหารจัดการ ซึ่งจากการตรวจสอบพบไม่มีการดำเนินกิจการอยู่จริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนนับพันล้านบาท สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมดจำนวน 26 คนที่จับกุมตัวได้นั้น จากการสอบสวนเบื้องต้น มีบางส่วนให้การภาคเสธ และ บางส่วนยังคงให้การปฏิเสธ  

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า  ปกติแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมีฐานที่ตั้งอยู่ในแถบประเทศเพื่อนบ้าน เพราะแผนประทุษกรรมหลอกลวงเงินจะเน้นการใช้โทรศัพท์เป็นหลัก ต่างจากแก๊งนี้ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในไทย เพราะไม่ได้ใช้โทรศัพท์ต่างจากเคสส่วนใหญ่ ส่วนผู้ต้องหาระดับบอสทั้ง 4 รายที่จับกุมตัวได้นั้น เราได้สืบสวนเฝ้าติดตามมาโดยตลอด ทราบว่าไปๆมาๆเข้าออกประเทศไทยบ่อยครั้ง จึงรอจังหวะที่เจ้าตัวกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้วรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาบออกหมายจับจนจับกุมตัวได้ดังกล่าว 

ผบช.ก. กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ต้องหาคนไทยที่อยู่ร่วมในขบวนการดังกล่าวส่วนใหญ่ จะเป็นบัญชีม้า เลขา และ นอมินีกรรมการบริษัทต่างๆ พร้อมกันนี้ยังเตรียมขยายผลตรวจสอบกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ของบริษัทนอมินีทั้ง 3 แห่งเหล่านี้ด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นอกจากนี้อยากฝากทิ้งท้ายไปถึงประชาชนทั่วไปที่มีความคิดอยากหาธุรกิจลงทุนต่อยอด ว่า การลงทุนที่จะได้ผลกำไรหรือผลตอบแทนสูงลักษณะนี้ไม่มีอยู่จริงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการลงทุนทุกอย่างต้องใช้วิจารณญาณคิดไตร่ตรองให้ดีอย่าหลงเชื่อะไรง่ายๆ