"บิ๊กโจ๊ก" แจงปม เฮียแต๋ม - เลี้ยงดูนักข่าว แต่ยอมรับเคยให้เงินส่วนตัวครั้งละ 1 หมื่นบาท เป็นค่าข้าว - ค่าเดินทางไปทำข่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) เผยว่าเรื่องเฮียแต๋ม ผมกับเขาและครอบครัวรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นสารวัตร เป็นความสัมพันธ์แบบญาติผู้ใหญ่ แต่ก่อนผมอยู่แฟลตตำรวจ จนมาเป็นผู้การ 191 ดูแล้วไม่ไหว งานเยอะ ลูกน้องเยอะขึ้นเลยจะออกมาอยู่บ้านแทน แต่บ้านยังไม่ทัน สร้างเสร็จ โดยบ้านที่จะสร้างนี้จะอยู่บนที่ดินที่พ่อตายกให้จำนวน 10 ไร่ ที่พุทธมนฑลสาย 7 ผมไปถมที่ไว้แล้ว แต่ยังไม่ว่างเข้าไปสร้างบ้าน แล้วก็ไม่พร้อมกับการซื้อบ้านเพราะกลัวเสียดายเงิน เนื่องจากเรายังมีที่ที่ถมไว้รออยู่ จึงตัดสินใจจะหาเช่าบ้านแทน

จากนั้นเฮียแต๋มได้บอกว่ามีบ้านอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งผมเห็นว่าอยู่ใกล้แฟลตวิภาวดีจึงขอเช่า แต่เฮียแต๋มก็ให้อยู่เลย ซึ่งผมเกรงใจจึงขอเช่าในราคา 50,000 บาทจำนวนสองหลัง ส่วนค่าน้ำค่าไฟจ่ายเอง ส่วนอีกสามหลังที่เหลือแบ่งเป็น 2 หลังไว้เก็บของ (ไม่มีใครนอน) ลักษณะคล้ายว่าผมเฝ้าบ้านให้เฮียแต๋ม อีกหลังว่างไว้ พอพ่อป่วยหนัก เลยบอกให้พ่อมาอยู่ที่นี่แทน และจ้างพยาบาลมาดูแล พอพ่อเสียบ้านนั้นเลยว่างพอดี สรุปผมใช้แค่ 2 หลังเท่านั้น

สำหรับ ประเด็นเรื่องการให้เงินนักข่าวบางสำนักนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ผมเป็นผู้ให้จริง และนักข่าวที่ไปกับผม เวลาไปทำข่าวหลายๆวัน พวกนี้เขามีทีม ผมเลยให้ 10,000 บาท ต่อจำนวน 4-5 วัน ซึ่งไม่ได้มาก และทุกครั้งที่ผมให้ เขาก็บอกว่าทางช่องให้แล้ว พวกนี้เขาไม่เคยมาขอเงินผมเลย แต่ผมเลี้ยงอาหารกลางวัน นักข่าวที่มาทำข่าวที่สโมสรตำรวจ มีลูกน้องที่ต้องเลี้ยงอาหารกลางวัน วันละ 200 กล่อง ตกเดือนละ 250,000 บาท ซึ่งเป็นเงินถูกกฎหมาย เป็นเงินส่วนตัวของผม

ดังนั้น นักข่าวมาผมเลี้ยงหมด ผมเบิกหลวงไม่ได้ เพราะมีงบจำกัด ถ้าอยากให้ประสิทธิภาพมันดี ผมก็อำนวยความสะดวกแก่คณะทำงาน และคนที่ไว้วางใจเข้ามาร้องทุกข์ ผมไม่ได้เข้า ตร. เพราะมันแน่น ที่จอดรถก็ไม่มี อีกทั้งยังไม่ได้คุยกับนักข่าวที่จะโดนหมายจับเลย ทั้ง 4 ราย พร้อมยืนยันว่ามันไม่ใช่สินบน เงินที่ซื้อข้าวก็ไม่ใช่เงินจากเว็บพนัน

ด้าน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เผย แม้สื่อมวลชนจะได้เงินเดือนตอบแทนอยู่แล้ว แต่การที่แหล่งข่าวเต็มใจช่วยเหลือค่าอาหารกลางวัน ค่าน้ำมัน ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งสินน้ำใจเหล่านี้ ไม่ได้ถือเป็นการให้สินบนเจ้าพนักงาน แต่เป็นการให้สินน้ำใจ เพื่อความสมานฉันท์ที่ดี จึงไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่หากพนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีกับนักข่าวในข้อหานี้ อาจจะโดนดำเนินคดีกลับได้ และหากนักข่าวคนไหนโดนคดีนี้ ให้บอกตนเอง จะยินดีช่วยเหลือ