ส.ส.พรรคเป็นธรรม ลิสต์ 6 ประเด็นร้อน ชี้ MOU ไทย–สหรัฐ ด้านแร่หายาก อาจทำให้ประเทศเสียเปรียบ–ถูกมองเลือกข้างทางการเมืองโลก ขณะที่นักวิชาการธรรมศาสตร์ชี้ไทยยังไม่พร้อม ทั้งกฎหมาย เทคโนโลยี
จากการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ หรือแร่หายาก ระหว่าง ไทย-สหรัฐ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายว่า จะทำให้ไทยเสียเปรียบ และหากมีการลงทุนจริงจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุด นายกัณวีร์ สืบแสง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ตั้งข้อสังเกตถึงผลกระทบจากการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ว่า
1. MOU แรร์เอิร์ธ ได้ไม่คุ้มเสีย เสียเปรียบมากกว่าได้ จะมีปัญหามลพิษข้ามแดน ยังแก้ไม่ตก จากการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา และไทยได้รับผลกระทบ
2. เนื้อหาใน MOU คือ พัฒนาความหลากหลายทาง “ห่วงโซ่อุปทาน” เป็นประเด็นที่น่ากังวล
ความหมาย “ห่วงโซ่อุปทาน” ครอบคลุมตั้งแต่… การหาทรัพยากรต้นทาง ผลิตอย่างไร กระบวนการผลิตต้องทำอย่างไร นำแรงงานมาทำงานอย่างไร ส่งออกไปไหน อย่างไร การตลาดทำอย่างไร
“ห่วงโซ่อุปทาน” คือทั้งสายการผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่ศึกษาวิจัย เปิดตลาด รวมถึงการนำเข้ามาจากเมียนมา แล้วส่งออก ก็เข้าข่ายทั้งหมด ไม่ได้จำกัดแค่ผลิตเอง แปลว่าความหมายกว้างขวางมาก
3.การพัฒนาเป็นเรื่องดี ไม่ได้ค้านจุดนี้ และแม้ MOU จะยังสรุปไม่ได้ว่าเสียเปรียบหรือไม่ แต่ก่อนทำ MOU ควรต้องดูเรื่องผลกระทบในพื้นที่ด้วย โดยเฉพาะมลพิษข้ามแดน ประชาชนในหลายภูมิภาคของไทยมีความเป็นห่วงกังวลอย่างมาก
“ก่อนทำ MOU ควรขอให้สหรัฐร่วมมือ ช่วยเหลือแก้ไขเรื่องมลพิษข้ามแดนก่อนหรือไม่ เช่นคุยกับจีน กดดันเมียนมา”
4. ไทยตกเป็นเครื่องมือในเกมการเมืองระหว่างประเทศหรือไม่ เพราะจีนครอบครอง ควบคุมการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ 60-70% ของโลก
จากเอ็มโอยูที่ทำกับสหรัฐ แม้ไม่ถึงกับไทยทิ้งจีน แต่เหมือนกับไทยช่างเลือก และเลือกข้างสหรัฐฯ MOU แรร์เอิร์ธ เหมือนเป็นออปชั่นต่อเนื่องจากปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา
ต้องไม่ลืมว่า 4 ข้อที่เป็นเงื่อนไขไทยในปฏิญญาร่วมฯ ในข้อ 3 เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเกี่ยวข้องโดยตรง เมื่อมาต่อที่เรื่องแรร์เอิร์ธ จีนก็เกี่ยวข้อง ผู้ลงทุนคือจีน ฉะนั้นเมื่อไทยไปเซ็นสัญญากับสหรัฐฯ ย่อมทำให้จีนรู้สึกไม่สบายใจ เหมือนกับไทยจะพูดเรื่องหนึ่ง แล้วไปทำอีกเรื่องหนึ่งด้วย ถือเป็นเรื่องใหญ่ โดนัลด์ ทรัมป์ มาร่วม แล้วจีนไม่มาร่วม
“โลกทั้งใบกำลังวิ่งเข้าหาแร่แรร์เอิร์ธ แล้วเราไปวิ่งตามสหรัฐฯ ไทยจะถูกตั้งคำถามจากจีนหรือไม่ว่าเราเปิดประตูแบ่งปันทรัพยากรกับสหรัฐฯ แต่ไม่ได้ทำอะไรกับจีน”
5. เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ ปรึกษาหารือ กับภาคประชาชน ภาคประชาสังคมที่ต่อต้าน การทำ MOU แบบนี้ ทำให้ไม่สบายใจ เหมือน MOU 43-44 รัฐบาลก็ทำฝ่ายเดียว พอจะยกเลิก ก็ให้ไปถามประชามติ แต่วันนี้ไปทำ MOU แรร์เอิร์ธ ทำไมไม่ถามประชาชนก่อน หรืออย่างน้อยปรึกษาสภาก่อน จะทำให้เห็นความโปร่งใสของรัฐบาลยิ่งขึ้น
“ผมเชื่อว่ารัฐบาลไม่รู้จริงๆ เป็นการต่างตอบแทนที่ลดภาษีนำเข้าสหรัฐหรือไม่ ก็เลยทำตามที่สหรัฐฯเสนอ รัฐบาลอาจคิดแค่นี้ ไม่ได้คิดลึก จึงไม่ได้ถามประชาชนก่อน
6.ยืนยันไม่เสียใจหรือผิดหวังที่โหวตเลือก คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลภูมิใจไทย เพราะได้คุยกันก่อนแล้วว่า ขอ 2 เรื่อง คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา และแก้ไขสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้นำไปสู่สันติภาพ ซึ่งนายอนุทิน ทำทั้ง 2 เรื่องตามที่สัญญาไว้แล้ว
“แต่จะทำ 100% หรือไม่ เราบังคับไม่ได้ หรือรัฐบาลจะไปทำเรื่องอื่นด้วย ก็บังคับไม่ได้ แต่ในฐานะที่เป็นฝ่ายค้าน ก็จะตรวจสอบถ่วงดุล และทำหน้าที่ท้วงติงอย่างเต็มที่ต่อไป”
นักวิชาการชี้ไทยไม่พร้อมสัมปทานเหตุไร้กม.รองรับ ขาดมาตรการควบคุม
น.ส.จารุประภา รักพงษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 ว่า ในช่วงเวลาอันใกล้หรืออย่างน้อยคือในปีนี้ ไทยยังไม่มีความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือกันว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมถ่านหิน เพราะไทยยังไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งการไม่มีกฎหมายรองรับในการควบคุมดูแลอุตสาหกรรมการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ไม่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงไม่มีความพร้อมด้านการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน
นอกจากนี้ รัฐบาลในปัจจุบันถือเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาทำภารกิจตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงไม่เหมาะสมที่จะผลักดันในการให้สัมปทานเพื่อผลิตหรือการขุดแร่แรร์เอิร์ธแก่ประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการนำเข้าแร่จากประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตต่อด้วย หากต้องผลักดันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยควรมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธก่อน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนถกเถียงและมีมติเห็นชอบจากรัฐสภาตามกระบวนการ ฉะนั้นรัฐบาลชุดต่อไปซึ่งได้รับการเลือกตั้ง และได้รับฉันทมติมาจากประชาชนจะมีความเหมาะสมกว่าในการผลักดันการให้สัมปทาน
น.ส.จารุประภา กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำได้และควรทำ คือการเตรียมความพร้อม ทั้งมิติการศึกษา การร่างข้อกฎหมาย หรือการหามาตรการควบคุมป้องกันผลกระทบ และสำรวจหาพื้นที่ที่มีแร่อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเป็นการสำรวจที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษพร้อมทั้งรับเอาการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ ทั้งจากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นๆ ที่เข้ามายื่นข้อเสนอเช่นกัน
น.ส.จารุประภา กล่าวต่อว่า MOU ว่าด้วยความร่วมมือแร่แรร์เอิร์ธที่ไทยทำกับสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลผูกพันเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ฉะนั้นหากมีการเจรจารายละเอียดเรื่องนี้กันอีกครั้ง ประเทศไทยควรแสดงท่าทีว่าไม่ได้เปิดรับแค่การลงทุนจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ไทยยังเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือจีน โดยหลักการสำคัญคือขึ้นอยู่กับข้อเสนอของประเทศใดมีความน่าสนใจที่สุด ซึ่งข้อเสนอที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงแค่จำนวนเงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมาตรการเรื่องการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วย หากไทยสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางเหล่านี้ที่ไม่ได้อิงไปทางสหรัฐฯ มากนัก ก็จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศและเป็นการสะท้อนไปยังจีนว่าไทยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักทางการค้าไปยังสหรัฐฯ มากเกินไป
"สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการปรับปรุงข้อกฎหมายตรวจสอบย้อนกลับเพื่อป้องกันมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งกำลังสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมให้กับแม่น้ำกกของไทยในเวลานี้ โดยในกรณีที่ผู้ประกอบการไทยมีการนำเข้าแร่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วนำมาผลิตต่อเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ของแร่ในไทย จะต้องไม่เป็นแร่ซึ่งมีที่มาจากเหมืองแร่ที่สร้างมลพิษทางน้ำและทางอากาศให้ไทย หากตรวจสอบย้อนกลับแล้วพบว่ามีที่มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ก็ควรจะยุติการนำเข้าทันที เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไข" น.ส.จารุประภา กล่าว