ครม.ไฟเขียว “คนละครึ่งพลัส” เรือธงเศรษฐกิจใหม่ เริ่มใช้ 29 ต.ค.นี้ เพิ่มเงินสมทบเป็นวันละ 200 บาท ขยายอายุผู้ใช้ คาดดันจีดีพีโต 0.3-0.4% เพิ่มออฟชั่น ใช้ซื้อเดลิเวอร์ฟู้ดส์
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ร่วมแถลง โครงการคนละครึ่ง พลัส
นายเอกนิติ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นความเร่งด่วนเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้ประชาชน มีกำลังจ่ายในชีวิตประจำวันในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับภัยเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่4 ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะติดลบและชะลอตัวลง โครงการนี้จึงเป็นเรือธงที่เสริมจากโครงการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ ครม.อนุมัติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อฟื้นเศรษฐกิจให้กระจายตัวและได้ผลในระยะยาว
นายเอกนิติ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและกระจายตัว โดยจะให้สิทธิ์กับประชาชน 20 ล้านสิทธิ์ ซึ่งรัฐบาลจะสมทบเงินครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะช่วยฝั่งร้านค้ารายเล็กรายย่อย เพิ่มยอดรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว โดยประชาชนในระบบภาษีจะได้เงิน 2,400 บาท นอกจากนั้น คือ เพิ่มทักษะให้กับพ่อค้าแม่ค้า โดยใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การค้าขายและลดรายจ่าย โดยนำเทคโนโลยีที่จะมีโครงการเรียนรู้เข้ามาช่วยร้านค้า
“รัฐบาลมุ่งเน้นโครงการนี้จะเป็นเครื่องจักรช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ไม่ให้ติดลบ ซึ่งโครงการนี้ จะแตกต่างจากของเดิม ที่กำหนดช่วงอายุของผู้ที่สามารถใช้สิทธิ์ได้คือ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ครั้งนี้กำหนดให้ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะคนรุ่นใหม่มีกำลังซื้อและสามารถค้าขายออนไลน์ ได้จึงมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ นอกจากนั้นจะเพิ่มเงินสมทบของรัฐต่อวันจากเดิม 150 บาทเป็น 200 บาทต่อวัน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และยังเพิ่มวงเงินสิทธิของผู้ที่อยู่ในระบบภาษีเป็น 2,400 บาทเมื่อเทียบกับสิทธิ ให้กับประชาชนทั่วไป 2,000บาทโดยจะเริ่มใช้ได้ในวันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. นี้ สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนแล้วและยังไม่ได้ใช้สิทธิ์จะต้อง เริ่มใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในในวันที่ 11 พ.ย.นี้
รมว.คลัง กล่าวว่า นอกจากนั้นยังเพิ่มให้ผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งมีรายได้ต่อปีที่เป็นร้านเป็นไมโครเอสเอ็มอี สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้รวมถึงวิสาหกิจชุมชน และเพิ่มทักษะความรู้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยเรียนรู้ทักษะใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาขยายธุรกิจสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแรงจากล่างขึ้นบนทั้งหมดนี้เป็นไปตามแนวคิด ”ควิก บิ๊ก วิน“ โดยทำให้เร็ว ผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง และถุงเงิน ซึ่งทุกคนมีและคุ้นเคยอยู่แล้วสามารถนำมาใช้ได้ทันทีและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเอกนิติ กล่าวว่า สำหรับแหล่งเงินงบประมาณ จะใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นงบประมาณเดิมของปี 2569 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลาง รายจ่ายสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น 1.9 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 44,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นครึ่งหนึ่งในส่วนของรัฐบาล รวมกับครึ่งหนึ่งของประชาชน จะเป็น 88,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินที่เติมเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมกัน 1 แสนล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 0.3 ถึง 0.4% ของจีดีพีเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยติดลบ เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และร้านค้าขนาดเล็กจะได้ประโยชน์ และสามารถซื้อสินค้าทางฟู้ดส์เดลิเวอรี่ได้
สำหรับรายละเอียด ดังนี้ มีระยะเวลาโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.-31 ธ.ค.โดยเปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.- 19 ธ.ค.นี้ หรือระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนด สำหรับ การเปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.-ถึงวันที่ 26 ต.ค.นี้ เวลา 06.00 - 22.00 น.
ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.- 31 ธ.ค. เวลา 06.00 - 23.00 น.โดยสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.- 31 ธ.ค. เวลา 06.00 - 21.00 น.