วสท. – ทส. สรุปสาเหตุถนนทรุดหน้าวชิรพยาบาล มาจากรอยรั่วอุโมงค์รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ทำดินไหล ท่อแตก น้ำชะล้างดินซ้ำ เกิดโพรงขยายตัว พร้อมชี้มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก่อนเกิดเหตุใหญ่
จากกรณีผิวจราจรทรุดตัวบริเวณหน้าวชิรพยาบาล ถ.สามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ซึ่งอยู่ใกล้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ล่าสุด วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงพื้นที่ตรวจสอบและเผยสาเหตุเบื้องต้นว่าเกิดจากการรั่วของรอยต่ออุโมงค์ก่อสร้างใต้ดิน ทำให้ดินไหลเข้าไปเกิดโพรง และนำไปสู่การทรุดตัวของถนน
ชี้รอยต่ออุโมงค์รั่ว ดินทรายไหลเข้า เกิดโพรงใต้ดิน
รศ.ดร.ฐิรวัตร บุญญะฐี ประธานอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมปฐพี วิศวกรรมสถานฯ เผยว่า บริเวณดังกล่าวมีรอยรั่วที่รอยต่อระหว่างอุโมงค์ที่กำลังก่อสร้างกับผนังสถานีรถไฟฟ้า ทำให้ดินทรายโดยรอบไหลทะลักเข้าสู่พื้นที่อุโมงค์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ก่อให้เกิด “โพรงใต้ดิน” ขนาดใหญ่ เมื่อไม่มีดินรองรับด้านล่างจึงทำให้ผิวจราจรด้านบนทรุดตัวตามลงมา
ขณะเดียวกัน การทรุดตัวยังส่งผลให้ท่อประปาแตก น้ำจำนวนมากไหลซึมและเร่งการชะล้างดินชั้นล่าง ซึ่งเป็นดินทราย ทำให้โพรงขยายวงกว้างและยุบตัวลงอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
มีสัญญาณเตือนก่อนเกิดเหตุ
ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวเริ่มเกิดการทรุดตัวเป็นแอ่ง มีน้ำขังตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุหลายชั่วโมง ซึ่งถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่สามารถใช้เวลาประมาณ 4–5 ชั่วโมงในการอพยพหรือจัดการความเสี่ยง หากมีการเฝ้าระวังที่เหมาะสม
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ภายใต้สัญญาที่ 1 ซึ่งเป็นช่วงงานอุโมงค์ทางวิ่งและสถานีใต้ดิน เตาปูน–หอสมุดแห่งชาติ มูลค่า 19,430 ล้านบาท ผู้รับจ้างคือ CKST-PL Joint Venture (บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งฯ)
รศ.ดร.ฐิรวัตร ยังระบุว่า แม้โครงการขนาดใหญ่มักมีมาตรการความปลอดภัย เช่น การติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดการเคลื่อนตัวของดิน แต่ในกรณีนี้อาจเกิดจาก “อุบัติเหตุ” หรือ “ความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error)” ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ซึ่งต้องรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการต่อไป
ทส. ตรวจสอบยืนยันไม่ใช่ “หลุมยุบธรรมชาติ”
ด้าน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญจากกรมทรัพยากรธรณี ได้ลงพื้นที่และยืนยันว่า การยุบตัวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่หลุมยุบทางธรรมชาติ เนื่องจากไม่มีลักษณะเป็นวงกลมแบบ Sinkhole แต่ยุบตัวเป็นแนวยาวตามแนวถนน
พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นดินเหนียวธรรมชาติ (Bangkok Clay) หนาราว 25 เมตร ซึ่งถูกถมดินทับเพื่อสร้างถนน การทรุดตัวจึงเป็นผลจาก “ความไม่มั่นคงของชั้นดินถม” โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่กระตุ้นการยุบตัว ได้แก่:
-
แรงกระทบจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของดิน
-
ท่อประปาแตก ทำให้น้ำรั่วลงใต้ดิน และพาดินออกไป
-
ฝนตกหนักต่อเนื่อง เร่งการกัดเซาะของชั้นดิน
ฟื้นฟูอาจใช้เวลา 2–3 เดือน
ในระยะฟื้นฟู ถนนบริเวณดังกล่าวอาจใช้เวลาซ่อมแซม 2–3 เดือน ขณะเดียวกัน อาคารโดยรอบที่ได้รับผลกระทบจากแรงดึงของดินใต้ดินจะต้องมีการประเมินความแข็งแรง โครงสร้าง และความปลอดภัยอย่างละเอียดก่อนกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
ทั้งนี้ นอกจากการแก้ไขทางกายภาพแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องดำเนินการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง