นักวิชาการธรรมศาสตร์ จี้รัฐเร่งคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้เหยื่อที่เดือดร้อนจากการถูกอายัดบัญชีโดยไม่มีความผิด ชงจัดตั้งกองทุนชดเชย-จ่ายเงินเยียวยาผู้บริสุทธิ์ เสนอ "ธนาคาร" ใช้ "AI แมชชีนเลิร์นนิง" ป้อง
อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า นอกจากการเร่งพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับประชาชนที่เดือดร้อนจากนโยบายปราบปรามบัญชีม้าและปลดล็อกการอายัดบัญชีอย่างเร่งด่วนแล้ว รัฐควรจะคืนเงินเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ย และควรมีเงินชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย ผ่านการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่โดนอายัดบัญชีผิดพลาดเป็นการเฉพาะด้วย
อัจฉรา กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีกองทุนยุติธรรมในการชดเชยความเสียหายทางคดีอาญา หรือกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้กับประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว แต่ยังไม่เคยมีกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการอายัดผิดบัญชี ซึ่งในกรณีของต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป (EU) จะมีกฎหมายเพื่อการเยียวยาที่เปิดช่องให้ประชาชนสามารถไปฟ้องร้องค่าเสียหายจากรัฐได้หากมีการอายัดบัญชีผิดตัว
“เมื่อประเทศไทยยังไม่มีกฎหมาย หากประชาชนต้องการการชดเชยก็จะต้องดำเนินการฟ้องทางแพ่งและเสียค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้งทนายเอง ต้องเสียเวลาในการต่อสู้คดีอย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องตั้งกองทุนฯ ขึ้นมาเพื่อเยียวยาให้กับประชาชน” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า แม้การกระบวนการในการจัดการบัญชีม้าของภาครัฐจะมีหน่วยงานอย่างศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC มีสายด่วน 1441 มากกว่า 100 คู่สาย คอยให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาภัยออนไลน์แบบ One Stop Service ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ส่วนตัวมองว่า บุคลากรผู้ฎิบัติงานยังมีไม่เพียงพอต่อจำนวนของเคสปัญหาที่เกิดขึ้น ที่สำคัญคือควรมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้สอดรับและเท่าทันกับพฤติกรรมความก้าวหน้าในการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพ
“ขบวนการเหล่านี้ใช้เวลาสั้นมากในการนำเงินออกนอกประเทศ ดังนั้น การไปไล่ตามอายัดบัญชีมันจึงไม่ทัน เพราะอาชญากรเหล่านี้มีกลวิธีการเล่นแร่แปรธาตุมากมาย เช่น สามารถแปลงเงินบาทเป็นค่าเงิน USDT ซึ่งมีค่าเท่ากับเงินดอลลาร์จริงๆ ซึ่งสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน มันจึงต้องมีการใช้เทคโนโลยี AI ป้องกันในเชิงรุกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แทนที่จะให้ปัญหาเกิดก่อนแล้วค่อยตามแก้” อัจฉรา กล่าว
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่ทางธนาคารควรจะนำมาใช้ คือ แมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning: ML) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ AI เพื่อนำมาช่วยในการตรวจตราพฤติกรรมบัญชีที่มีความผิดปกติหรือสุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นบัญชีม้า และดำเนินการอายัดบัญชีต่อไปทันที หากพบว่ามีความผิดจริง สิ่งเหล่านี้คือมาตรการเชิงป้องกันก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น แต่ ณ วันนี้ส่วนใหญ่ภาครัฐยังใช้มาตรการเชิงตั้งรับเป็นหลัก กล่าวคือ เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย จึงจะสามารถดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนต่อไป ซึ่งถือเป็นการตามแก้ไขสถานการณ์เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว อีกทั้ง ในระหว่างขั้นตอนกระบวนการเหล่านี้ยังได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น การนำเทคโนโลยี ML มาใช้จึงถือเป็นมาตรการเชิงป้องกันเชิงรุก ที่จะช่วยทั้งการตรวจจับผู้กระทำความผิด และลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปในคราวเดียวกัน
วศิน ปั้นทอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ควรจะต้องมีมาตรการในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการโดนล็อกวงเงินหรืออายัดบัญชี แต่ในเชิงรายละเอียดของการคำนวนวิธีในการเยียวยาที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมกันออกแบบกลไก แต่ในเชิงหลักการส่วนตัวเห็นว่าผู้บริสุทธิ์ควรได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ
มากไปกว่านั้น ควรมีมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุก เพื่อป้องกันการเปิดบัญชีม้า เช่น การเพิ่มระบบ (One Time Password : OTP) การมีระบบพิสูจน์ตัวตน ในการเปิดบัญชีกับธนาคารมากกว่าเพียงแค่การใช้เอกสารเพียงอย่างเดียวแบบที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่เปิดบัญชีมีตัวตนตรงกันกับเอกสารหลักฐานที่ยื่นมา
นอกจากนี้ ควรจะมีระบบหลังบ้านให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเฝ้าระวังผ่านการแชร์และเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ เช่น ธนาคารต่างๆ สามารถดูข้อมูลการเปิดบัญชีและความเคลื่อนไหวทางบัญชีว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ประการต่อมาควรให้ธนาคารมุ่งเน้นเรื่องการสื่อสารองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการจัดการบัญชีม้าให้ประชาชนซึ่งเป็นลูกค้าของตนได้ตระหนักและรับรู้รับทราบถึงมาตรการที่ธนาคารจะดำเนินการ หากตรวจพบว่าบัญชีใดมีพฤติกรรมต้องสงสัยหรือกระทำความผิด