สามสิ่งที่ผิดเพี้ยนในระบบการเมืองไทย

สามสิ่งที่ผิดเพี้ยนในระบบการเมืองไทย
โดย...ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

 1. นักการเมืองคิดอย่าง พูดอย่าง และทำอีกอย่าง (Political Hypocrisy)

 • หมายถึงนักการเมืองมักแสดงถ้อยคำหรือท่าทีที่ดูดีและเป็นไปตามที่ประชาชนต้องการได้ยิน แต่ในทางปฏิบัติกลับทำตรงกันข้าม เช่น ให้คำมั่นสัญญาแต่ไม่ทำตาม หรือตามผลประโยชน์ส่วนตน ตัวอย่างเช่น นักการเมืองในไทยที่หลายครั้งสัญญาปฏิรูปแต่สุดท้ายไม่ดำเนินการจริง

 • ต่างประเทศ เช่นในประเทศสแกนดิเนเวีย เน้นความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ของผู้นำทางการเมือง ถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ที่สร้างความน่าเชื่อถือแก่ประชาชน

 2. พรรคเดียวกัน เป็นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านได้ในเวลาเดียวกัน (Political Bi-Polar)

 • เป็นปรากฏการณ์ในสภาไทยที่พรรคร่วมรัฐบาลบางครั้งส่งผู้แทนไปอภิปรายในฐานะฝ่ายค้าน หรือสมาชิกพรรคเดียวกันอยู่ฝ่ายตรงข้ามในสภา สร้างความไม่ชัดเจนและสับสนทางการเมือง

 • ต่างประเทศแบบระบบ Westminster ที่อังกฤษ จะมีการแบ่งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างชัดเจน และมีกติกาเข้มงวดเพื่อรักษาความโปร่งใสและประสิทธิภาพ

 3. แจกกล้วย ซื้องูเห่า กลายเป็นเรื่องปกติในสภา (Political Anomaly)

 • หมายถึงการใช้ผลประโยชน์หรือข้อเสนอแลกเปลี่ยนการสนับสนุน หรือการซื้อตัวสมาชิกสภาเพื่อเปลี่ยนฝักฝ่าย ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในการเมืองไทย

 • ต่างประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวดเช่นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จะมีบทลงโทษรุนแรงและควบคุมไม่ให้เกิดการซื้อเสียงหรือผลประโยชน์แลกเปลี่ยนดังกล่าว


แนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม

 • เน้นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่กับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อความโปร่งใสและน่าเชื่อถือของระบบการเมือง

 1. ลด Political Hypocrisy

 • ตั้งกฎหมายที่เข้มงวดในการเปิดเผยทรัพย์สินและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมือง โดยองค์กรอิสระ

 • ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบและเรียกร้องความซื่อสัตย์จากนักการเมือง

 2. แก้ปัญหา Political Bi-Polar

 • ปรับโครงสร้างพรรคและระบบสภาให้มีบทบาทรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ชัดเจน และมีกติกาที่เป็นธรรม

 • สนับสนุนระบบพรรคที่โปร่งใสและมีหลักเกณฑ์ในการร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างสมดุล

 3. ยุติ Political Anomaly (แจกกล้วย ซื้องูเห่า)

 • เสริมกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันและซื้อเสียง พร้อมบทลงโทษรุนแรง และมีระบบตรวจสอบอย่างเข้มงวด

 • เพิ่มบทบาทองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันและศาลที่เป็นกลาง

โดยรวม จำเป็นต้องจัดวางบทบาทสถาบันทางการเมืองให้เหมาะสม เติมเต็มพลังพลเมือง และส่งเสริมพลังการเมืองชุดใหม่ที่มีเจตจำนงค์ปฏิรูปจริงจัง พร้อมทั้งสร้างความชอบธรรมและความเชื่อมั่นในระบบการเมือง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลานานถึง 20-25 ปี แต่จะเป็นรากฐานประชาธิปไตยที่มั่นคงในอนาคตของไทย

TAGS: #สุวิทย์เมษินทรีย์ #ระบบการเมืองไทย #การเมืองไทย