โดย...ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์
1. นักการเมืองคิดอย่าง พูดอย่าง และทำอีกอย่าง (Political Hypocrisy)
• หมายถึงนักการเมืองมักแสดงถ้อยคำหรือท่าทีที่ดูดีและเป็นไปตามที่ประชาชนต้องการได้ยิน แต่ในทางปฏิบัติกลับทำตรงกันข้าม เช่น ให้คำมั่นสัญญาแต่ไม่ทำตาม หรือตามผลประโยชน์ส่วนตน ตัวอย่างเช่น นักการเมืองในไทยที่หลายครั้งสัญญาปฏิรูปแต่สุดท้ายไม่ดำเนินการจริง
• ต่างประเทศ เช่นในประเทศสแกนดิเนเวีย เน้นความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ของผู้นำทางการเมือง ถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ที่สร้างความน่าเชื่อถือแก่ประชาชน
2. พรรคเดียวกัน เป็นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านได้ในเวลาเดียวกัน (Political Bi-Polar)
• เป็นปรากฏการณ์ในสภาไทยที่พรรคร่วมรัฐบาลบางครั้งส่งผู้แทนไปอภิปรายในฐานะฝ่ายค้าน หรือสมาชิกพรรคเดียวกันอยู่ฝ่ายตรงข้ามในสภา สร้างความไม่ชัดเจนและสับสนทางการเมือง
• ต่างประเทศแบบระบบ Westminster ที่อังกฤษ จะมีการแบ่งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างชัดเจน และมีกติกาเข้มงวดเพื่อรักษาความโปร่งใสและประสิทธิภาพ
3. แจกกล้วย ซื้องูเห่า กลายเป็นเรื่องปกติในสภา (Political Anomaly)
• หมายถึงการใช้ผลประโยชน์หรือข้อเสนอแลกเปลี่ยนการสนับสนุน หรือการซื้อตัวสมาชิกสภาเพื่อเปลี่ยนฝักฝ่าย ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในการเมืองไทย
• ต่างประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวดเช่นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จะมีบทลงโทษรุนแรงและควบคุมไม่ให้เกิดการซื้อเสียงหรือผลประโยชน์แลกเปลี่ยนดังกล่าว
แนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
• เน้นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่กับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อความโปร่งใสและน่าเชื่อถือของระบบการเมือง
1. ลด Political Hypocrisy
• ตั้งกฎหมายที่เข้มงวดในการเปิดเผยทรัพย์สินและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมือง โดยองค์กรอิสระ
• ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบและเรียกร้องความซื่อสัตย์จากนักการเมือง
2. แก้ปัญหา Political Bi-Polar
• ปรับโครงสร้างพรรคและระบบสภาให้มีบทบาทรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ชัดเจน และมีกติกาที่เป็นธรรม
• สนับสนุนระบบพรรคที่โปร่งใสและมีหลักเกณฑ์ในการร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างสมดุล
3. ยุติ Political Anomaly (แจกกล้วย ซื้องูเห่า)
• เสริมกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันและซื้อเสียง พร้อมบทลงโทษรุนแรง และมีระบบตรวจสอบอย่างเข้มงวด
• เพิ่มบทบาทองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันและศาลที่เป็นกลาง
โดยรวม จำเป็นต้องจัดวางบทบาทสถาบันทางการเมืองให้เหมาะสม เติมเต็มพลังพลเมือง และส่งเสริมพลังการเมืองชุดใหม่ที่มีเจตจำนงค์ปฏิรูปจริงจัง พร้อมทั้งสร้างความชอบธรรมและความเชื่อมั่นในระบบการเมือง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลานานถึง 20-25 ปี แต่จะเป็นรากฐานประชาธิปไตยที่มั่นคงในอนาคตของไทย