"วิโรจน์" นำสมาคมขนส่งทางบก-ผู้ประกอบการรถเครน ร้อง "ป.ป.ช." ส่งข้อเสนอให้ "สตช." แก้ระเบียบป้องกันเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้ง-เรียกรับผลประโยชน์ เพื่อแก้ปัญหาค้าสำนวนรถบรรทุก-แยกหมวดหมู่รถเครน
ที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยสมาคมการขนส่งทางบก และสมาคมผู้ประกอบการรถเครนยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ใช้อำนาจในการทำข้อเสนอแนะต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาจัดทำปรับปรุงคำสั่ง หรือออกระเบียบมากำกับการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเรียกตรวจและดำเนินคดีกับรถบรรทุก เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เรียกตรวจตามอำเภอใจ หรือกลั่นแกล้งเรียกรับผลประโยชน์ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการค้าสำนวน โดยไม่ตรวจสอบหลักฐานสำคัญ
โดยนายวิโรจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการรถบรรทุกและผู้ประกอบการรถเครนที่ประกอบอาชีพ สุจริต ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง เช่น รถบรรทุกก็ถูกเรียกตรวจให้เสียเวลา ซึ่งกระทบต่อวัตถุประสงค์ในการส่งสินค้าอย่างมาก เป็นการรังควานที่เกิดขึ้นเพื่อรับเรียกผลประโยชน์
ส่วนกรณีที่น้ำหนักเกินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 วรรคสอง ให้ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน ต้องพิจารณาถึงความพร้อมของหลักฐานพยานต่างๆด้วยว่า ผู้ต้องหามีเจตนาในการทำความผิดจริง แต่ในทางปฏิบัติไม่มีเลย เมื่อน้ำหนักเกิน100- 200 กก. ก็ริบรถ ซึ่งเป็นการริบสินทรัพย์มูลค่าถึง 4,000,000 บาท
รวมถึงเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ทำมาหากินหลักของผู้ประกอบการบรรทุก ทั้งที่ปัจจุบันรถบรรทุกมี GPSติดตั้ง มีการเข้าด่านช่างตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง แต่ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดู เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาสุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้องในหลายกรณีที่มีน้ำหนักเกินแบบนี้ เพราะไม่มีนัยยะทางธุรกิจ แต่ปัญหาคือการที่ผู้ประกอบการเสียเวลาหลายเดือน เสียค่าดอกเบี้ยรถที่ต้องจ่าย เสียเวลาในการประกอบอาชีพใครจะรับผิดชอบเขาจากการถูกกลั่นแกล้ง
“เมื่อน้ำหนักเกินเจ้าหน้าที่จะริบรถ พอผู้ประกอบการเครียดหน่อย จะมากระซิบกับผู้ขับว่าหากไม่อยากถูกริบรถให้จ่ายเงินมาประมาณ 70,000 บาท เมื่อจ่ายเงินเสร็จ ทางเจ้าหน้าที่จะไปทำเอกสารสัญญาปลอมขึ้นมาว่าผู้ขับเช่ารถจากผู้ประกอบการมาวิ่งเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องริบรถเรียกว่าการค้าสำนวน”นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของรถเครน เราไม่ได้ผลิตภายในประเทศ แต่นำเข้าจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานทางวิศวกรรม ซึ่งนำเข้าและใช้งานถูกต้อง แต่ถูกจัดหมวดหมู่ในกลุ่มของรถบรรทุกซึ่งทำให้ผิดกฎหมายทันทีเนื่องจากน้ำหนักเกิน เปิดช่องให้มีการเรียกรับผลประโยชน์
”ซ้ำร้ายในช่วงที่ประเทศเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นกรณีตึก สตง.ถล่ม ก็มีการประสานงานไปยังผู้ประกอบการรถเครนให้ไปช่วย ผู้ประกอบการก็ถามตำรวจว่าจะผิดกฏหมายหรือไม่ ก็ได้รับคำชี้แจงว่า คราวนี้ยกเว้นให้ ผมสงสัยว่า มีการยกเว้นได้อย่างไร แสดงว่ากฎหมายไม่ทันสมัยแล้ว และกฎหมายที่ไม่ทันสมัย ก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐบางคนใช้ในการรับผลประโยชน์ และเราจะไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย“ นายวิโรจน์ กล่าว